วันที่ 4 กรกฎาคม 2552
วันนี้เป็นวันแรกของการออกเดินทางไกลในการไปทิปอาจารย์จิ๋ว ซึ่งมีการนัดกันไว้ตอน 6 โมงเช้าของวันนี้แต่การเดินทางจริงๆนั้นได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 8.30 เนื่องจากความล้าช้าของตัวพวกเราเอง พอขึ้นรถนั้นแทบจะทุกคนนั้นหลับเกือบทั้งหมดไม่ค่อยจะมีการพูดคุยกัน ไม่มีการเล่นอะไรต่างๆที่เฮฮาผิดกับที่คิดไว้ ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น จะตื่นมาเป็นทุกระยะๆในเวลาที่รถหยุดพักแวะเข้าปั๊ม ตัวผมนั้นได้อยู่บนรถที่พี่แป๊ะเป็นคนขับ หรืออาจจะเรียกว่า “ยานแม่” ก็ได้เพราะเป็นคันที่นำขบวนรถทุกคันเป็นแม่ทัพของการเดินทางครั้งนี้ (แถมขับรถเร็วและแรงอีกต่างหาก)
ทิปนี้เริ่มขึ้นที่จังหวัดสระบุรีเป็นจังหวัดที่ตัวผมคิดว่าไม่ค่อยมีอะไร และก็ไม่คิดว่าจะแวะที่จังหวัดนี้เป็นจังหวัดแรกด้วย ที่สระบุรีนั้นพวกเราได้มาที่ “บ้านเขาแก้ว” ซึ่งดูจากข้างนอกนั้นก็เป็นเหมือนของชาวบ้านทั่วๆไปนั้นแหละครับ แต่พอได้เดินเข้าไปแล้วเกิดประทับใจกับศาลาทางเข้าครับเพราะผมว่ามันดูน่ารักดี มีบรรยากาศที่ดีตั้งอยู่บนลำน้ำเล็กๆ ข้างๆเป็นเหมือนสวนเล็กๆ มีต้นไม้นานาชนิดมากมายเป็นส่วนที่ช่วยสงเสริมทางเข้าได้อย่างดี มันเป็นพื้นที่เล็กๆที่มีบรรยากาศแบบบ้านๆไม่เลิศหรูแต่ดูมีเสน่ห์ที่เจ้าของบ้านจัดเตรียมให้แขกบ้านแขกเรือนที่มาเยือนมาเพื่อรอเจ้าของบ้านมาต้อนรับ
พอเข้ามาถึงบริเวณลานบ้านเจ้าของบ้านซึ่งเป็นคนรู้จักอาจารย์จิ๋วก็มาต้อนรับและอธิบายให้ความรู้ ข้อมูลต่างๆมากมาย ซึ่งตัวผมเองเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสาของคนที่ไม่ค่อยรู้อะไรเลย มองจากบริเวณลานบ้านเข้าไปเราจะเห็นบ้านเรือนไทยที่ดูมีอายุมาก ดูเก่าแก่ นอกจากเรือนไทยที่อยู่บริเวณลานหน้าบ้าน รอบๆบริเวณนี้จะมีอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับวิถีของชาวบ้านให้ดู เหมือนเป็นส่วนให้ความรู้กับวิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน แล้วทางด้านหลังยังมีส่วนที่มีเรือนต่างๆที่มีของอนุรักษ์มากมายไม่ว่าจะเป็น เครื่องปั้นต่างๆ อุปกรณ์ต่างๆ หรือจะะเป็นเครื่องดนตรีอีกด้วย ซึ่งเรือนต่างๆเหล่านี้จะตั้งอยู่บนสระน้ำทำให้บรรยากาศของส่วนนี้เย็นมากมีหมู่แมกไม้นานาพันธุ์ล้อมรอบ ไม่คิดว่าจะมีส่วนอย่างนี้อยู่ในบ้านตอนแรกนึกว่ามีแค่เรือนไทยอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้ตัวผมเกิดความประทับใจกับ “บ้านเขาแก้ว” มากๆผมรู้สึกว่าบ้านหลังนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทุกสรรพสิ่งที่มนุษย์ต้องการนั้นก็คือปัจจัย 4 เป็นบ้านที่กลมกลืนพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ แสดงวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างแท้จริงว่ามนุษย์ต้องการอะไรบ้าง อยู่กับธรรมชาติจริงๆ โดยปราศจากความเลิศหรูต่างๆ ที่ไม่จำเป็นในการดำเนินชีวิต
ประมาณตอนเที่ยงเพวกเราก็ได้ออกมาจาก“บ้านเขาแก้ว”เพื่อออกมากินข้าวเราได้เดินข้ามมาอีกฝั่งของ “บ้านเขาแก้ว” พวกเราก็มาถึง “พิพิธภัณฑ์เรือลุ่มน้ำป่าสัก” นอกจากเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วที่นี้ยังเป็น “หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน สระบุรี” อีกด้วยเป็นศุนย์ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาวไทยวนและให้ความรู้เกี่ยวกับเรือประเภทต่างๆ เราได้มากินข้าวมื้อเที่ยงที่นี้ โดยมีเรือนไทยเป็นเรือนรับแขก มีพื้นที่ใต้ถุนเป็นพื้นที่ใช้ทำกิจกรรมต่างๆ พอมองจากด้านบนลงไปด้านล่างเราจะเห็น เรือนที่ลอยอยู่บนแม่น้ำป่าสัก พอผมเห็นตรงนั้นผมก็ตัดสินใจว่าจะลงไปกินข้าวที่นั้นเพราะที่ตรงนั้นเป็นที่ๆมีบรรยากาศดีที่สุดสำหรับผม
พอลองลงไปแล้วมองขึ้นไปเห็นเรือนไทยที่เป็นเรือนรับแขกจะมีความใหญ่มากมีความรมรื่นจากต้นไม้ใหญ่ต่างๆทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีอย่างบอกไม่ถูก สำหรับผมแล้วสถานที่แห่งนี้อารมณ์เหมือนสถานที่พักผ่อนมากกว่าพิพิธภัณฑ์ซะอีก พอกินข้าวเสร็จก็จะมีการแสดงจากน้องที่มาเรียนรู้วัฒนธรรมประจำถิ่นทุกๆวันเสาร์-อาทิตย์ ผมว่าเป็นเรื่องดีที่มีการเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆเพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้สูญหายไปเพราะปัจจุบันวัฒนธรรมพื้นถิ่นต่างๆกำลังเลือนหายไปกับความเจริญที่ก้าวหน้าไปทุกๆวัน ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยากเห็นวัฒนธรรมสูญหายไปอยากเห็น วัฒนธรรมเประจำชาติ-ถิ่นจริญขึ้นไปเคียงคู่กับความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสามารถประยุกต์ใช้
ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม จึงขอขอบคุณอาจารย์ทุกๆท่านที่พามาที่แห่งนี้และน้องนักแสดงทุกคนที่แสดงถึง
วัฒนธรรมประจำถิ่นให้ได้ชม
หลังมื้อเที่ยงเราก็ได้ออกเดินทางไปยังจังหวัดกำแพงเพชรซึ่งใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะถึงจังหวัดกำแพงเพชรเราถึงกำแพงเพชรประมาณเวลา 6 โมงเย็นโดยจุดมุ่งหมายที่มากำแพงเพชรนี้คือมาที่เมืองเก่าพอมาถึงที่นี้อาจารย์จิ๋วก็ได้อธิบายเกี่ยวกับความเป็นมารวมถึงงานสถาปัตยกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องแล้วพวกเราก็ได้เดินถ่ายรูปต่างๆจนแสงพระอาทิตย์ในวันนี้หมด วันแรกของการมาทิปก็หมดตามแต่การเดินทางนั้นยังไม่ได้จบเพราะจุดมุ่งหมายต่อไปคือจังหวัดลำปาง พวกเราจึงเดินทางไปจังหวัดลำปางในเย็นวันนั้นและถึงที่พักประมาณตอนตี 1 พอถึงที่พักผมคิดว่าทิปนี้นี้มันช่างหนักซะจริงๆ

ทิปนี้เริ่มขึ้นที่จังหวัดสระบุรีเป็นจังหวัดที่ตัวผมคิดว่าไม่ค่อยมีอะไร และก็ไม่คิดว่าจะแวะที่จังหวัดนี้เป็นจังหวัดแรกด้วย ที่สระบุรีนั้นพวกเราได้มาที่ “บ้านเขาแก้ว” ซึ่งดูจากข้างนอกนั้นก็เป็นเหมือนของชาวบ้านทั่วๆไปนั้นแหละครับ แต่พอได้เดินเข้าไปแล้วเกิดประทับใจกับศาลาทางเข้าครับเพราะผมว่ามันดูน่ารักดี มีบรรยากาศที่ดีตั้งอยู่บนลำน้ำเล็กๆ ข้างๆเป็นเหมือนสวนเล็กๆ มีต้นไม้นานาชนิดมากมายเป็นส่วนที่ช่วยสงเสริมทางเข้าได้อย่างดี มันเป็นพื้นที่เล็กๆที่มีบรรยากาศแบบบ้านๆไม่เลิศหรูแต่ดูมีเสน่ห์ที่เจ้าของบ้านจัดเตรียมให้แขกบ้านแขกเรือนที่มาเยือนมาเพื่อรอเจ้าของบ้านมาต้อนรับ
พอเข้ามาถึงบริเวณลานบ้านเจ้าของบ้านซึ่งเป็นคนรู้จักอาจารย์จิ๋วก็มาต้อนรับและอธิบายให้ความรู้ ข้อมูลต่างๆมากมาย ซึ่งตัวผมเองเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสาของคนที่ไม่ค่อยรู้อะไรเลย มองจากบริเวณลานบ้านเข้าไปเราจะเห็นบ้านเรือนไทยที่ดูมีอายุมาก ดูเก่าแก่ นอกจากเรือนไทยที่อยู่บริเวณลานหน้าบ้าน รอบๆบริเวณนี้จะมีอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับวิถีของชาวบ้านให้ดู เหมือนเป็นส่วนให้ความรู้กับวิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน แล้วทางด้านหลังยังมีส่วนที่มีเรือนต่างๆที่มีของอนุรักษ์มากมายไม่ว่าจะเป็น เครื่องปั้นต่างๆ อุปกรณ์ต่างๆ หรือจะะเป็นเครื่องดนตรีอีกด้วย ซึ่งเรือนต่างๆเหล่านี้จะตั้งอยู่บนสระน้ำทำให้บรรยากาศของส่วนนี้เย็นมากมีหมู่แมกไม้นานาพันธุ์ล้อมรอบ ไม่คิดว่าจะมีส่วนอย่างนี้อยู่ในบ้านตอนแรกนึกว่ามีแค่เรือนไทยอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้ตัวผมเกิดความประทับใจกับ “บ้านเขาแก้ว” มากๆผมรู้สึกว่าบ้านหลังนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทุกสรรพสิ่งที่มนุษย์ต้องการนั้นก็คือปัจจัย 4 เป็นบ้านที่กลมกลืนพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ แสดงวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างแท้จริงว่ามนุษย์ต้องการอะไรบ้าง อยู่กับธรรมชาติจริงๆ โดยปราศจากความเลิศหรูต่างๆ ที่ไม่จำเป็นในการดำเนินชีวิต
ประมาณตอนเที่ยงเพวกเราก็ได้ออกมาจาก“บ้านเขาแก้ว”เพื่อออกมากินข้าวเราได้เดินข้ามมาอีกฝั่งของ “บ้านเขาแก้ว” พวกเราก็มาถึง “พิพิธภัณฑ์เรือลุ่มน้ำป่าสัก” นอกจากเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วที่นี้ยังเป็น “หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน สระบุรี” อีกด้วยเป็นศุนย์ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาวไทยวนและให้ความรู้เกี่ยวกับเรือประเภทต่างๆ เราได้มากินข้าวมื้อเที่ยงที่นี้ โดยมีเรือนไทยเป็นเรือนรับแขก มีพื้นที่ใต้ถุนเป็นพื้นที่ใช้ทำกิจกรรมต่างๆ พอมองจากด้านบนลงไปด้านล่างเราจะเห็น เรือนที่ลอยอยู่บนแม่น้ำป่าสัก พอผมเห็นตรงนั้นผมก็ตัดสินใจว่าจะลงไปกินข้าวที่นั้นเพราะที่ตรงนั้นเป็นที่ๆมีบรรยากาศดีที่สุดสำหรับผม
พอลองลงไปแล้วมองขึ้นไปเห็นเรือนไทยที่เป็นเรือนรับแขกจะมีความใหญ่มากมีความรมรื่นจากต้นไม้ใหญ่ต่างๆทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีอย่างบอกไม่ถูก สำหรับผมแล้วสถานที่แห่งนี้อารมณ์เหมือนสถานที่พักผ่อนมากกว่าพิพิธภัณฑ์ซะอีก พอกินข้าวเสร็จก็จะมีการแสดงจากน้องที่มาเรียนรู้วัฒนธรรมประจำถิ่นทุกๆวันเสาร์-อาทิตย์ ผมว่าเป็นเรื่องดีที่มีการเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆเพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้สูญหายไปเพราะปัจจุบันวัฒนธรรมพื้นถิ่นต่างๆกำลังเลือนหายไปกับความเจริญที่ก้าวหน้าไปทุกๆวัน ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยากเห็นวัฒนธรรมสูญหายไปอยากเห็น วัฒนธรรมเประจำชาติ-ถิ่นจริญขึ้นไปเคียงคู่กับความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสามารถประยุกต์ใช้
ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม จึงขอขอบคุณอาจารย์ทุกๆท่านที่พามาที่แห่งนี้และน้องนักแสดงทุกคนที่แสดงถึง
วัฒนธรรมประจำถิ่นให้ได้ชม
หลังมื้อเที่ยงเราก็ได้ออกเดินทางไปยังจังหวัดกำแพงเพชรซึ่งใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะถึงจังหวัดกำแพงเพชรเราถึงกำแพงเพชรประมาณเวลา 6 โมงเย็นโดยจุดมุ่งหมายที่มากำแพงเพชรนี้คือมาที่เมืองเก่าพอมาถึงที่นี้อาจารย์จิ๋วก็ได้อธิบายเกี่ยวกับความเป็นมารวมถึงงานสถาปัตยกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องแล้วพวกเราก็ได้เดินถ่ายรูปต่างๆจนแสงพระอาทิตย์ในวันนี้หมด วันแรกของการมาทิปก็หมดตามแต่การเดินทางนั้นยังไม่ได้จบเพราะจุดมุ่งหมายต่อไปคือจังหวัดลำปาง พวกเราจึงเดินทางไปจังหวัดลำปางในเย็นวันนั้นและถึงที่พักประมาณตอนตี 1 พอถึงที่พักผมคิดว่าทิปนี้นี้มันช่างหนักซะจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น