วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันที่ 8 กรกฎาคม 2552
เป็นวันแรกที่อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่สถานที่แรกที่ไปถึงคือ วัดพันเตา ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในวัดพันเตาแห่งนี้มีวิหารไม้ที่มีขนาดใหญ่โดยโครงสร้างเป็นไม้ทั้งหมด นอกจากนี้บริเวณด้านข้างของวิหารยังมีศาลาที่ใช้ภูมิปัญญาพื้นถิ่นในการวาง span เสา การผูกไม้ การทำหลังคาจากวัสดุพื้นถิ่น ถัดมาจากบริเวณวัดพันเตามีโรงแรมๆหนึ่งซึ่งได้ใช้แนวคิดของบ้านพื้นถิ่นมาใช้ในการออกแบบ ชื่อโรงแรมนี้คือโรงแรม U Chiang Mai ทำให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็น Boutique Hotel มีการบริการระดับ 5 ดาว ในส่วนตัวผมคิดว่าโรงแรมแห่งนี้มีสไตล์ความเป็น modern ผสมกับความเป็นพื้นถิ่นได้อย่างลงตัว มีการใช้สัจจะวัสดุทำให้เห็นเนื้อแท้ของวัสดุอย่างชัดเจนทำให้งานเกิดเสน่ห์อย่างมาก
หลังจากนั้นที่ต่อไปที่ไปคือวัดทุ่งอ้อตั้งอยู่ที่ ต.หารแก้ว อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ซึ่งทางเดินระหว่างเข้าไปนั้นจะเห็นรั้วบ้านของชาวบ้านที่มีพวกต้นไม้ ไม้เลื้อย ขึ้นบริเวณรั้วดูเหมือนไม่ตั้งใจสร้างแต่ที่จริงตั้งใจ ทำให้เกิดความรู้สึกร่มรื่นระหว่างทางเดินเข้าไปในวัดจากร่มเงาของต้นไม้ที่บริเวณของรั้วบ้าน พอเข้าถึงวัดทุ่งอ้อสิ่งที่เห็นก็คือวิหารที่มีการยกฐานสูงขึ้นโดยปกติวิหารภาคเหนือที่ไปดูมาจะไม่มีการยกฐานที่สูงขนาดนี้ นอกจากฐานที่ยกสูงแล้วตรงระเบียงทางเข้ายังมีขนาดใหญ่ ทางขึ้นไปวิหารมีขาดแคบมากทำให้รู้สึกถึง space ที่บีบอัดคับแคบ แต่พอลอดเข้าไปในวิหารระหว่างเสาใหญ่ทั้ง 2 ต้นตรงซุ้มประตูจะทำให้เกิดการเปลี่ยน space จากที่คับแคบกลายเป็น space ที่ยิ่งใหญ่เหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งเป็นแนวคิดในการดึงดูดคนให้เข้าไปใช้ ในตัววิหารได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ถ้าสังเกตบริเวณด้านหน้าทางเข้าซุ้มประตูที่มีสิงห์เฝ้าอยู่นั้นสิงห์คาบคนอยู่ซึ่งเป็นสิงห์แบบพม่า
วัดต่อไปที่พวกเราได้ไปนั้นคือวัดอินทราวาส ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ บริเวณรอบวัดมีการก่อกำแพงอิฐที่มีลักษณะเลื่อมล้ำกันทำให้เกิดความน่าสนใจตั้งแต่บริเวณกำแพงของทางเข้าวัดนี้ล้อมรอบไปด้วยต้นตาลขึ้นสูงเป็นตระหง่าน ในส่วนของวัดนั้นมีระเบียงคดล้อมรอบวิหาร มีศาลาอยู่ทางด้านซ้ายมือถ้ามองจากทางเข้า ซึ่งศาลานี้มีความพิเศษตรงโครงสร้างตรงการของหลังคาที่มีการซ้อนชั้นกัน นอกจากนี้ตรงขอบสันหลังคามีการประดับตกแต่งด้วยลวดลายมังกรที่มีการคายมังกรออกมาเรื่อยๆสร้างความสวยงามให้กับศาลาได้อย่างสวยงาม ในส่วนของตัววิหารนั้นมีการยกฐานสูงเหมือนวิหารของวัดทุ่งอ้อแต่ทางเข้าตรงระเบียงทางเข้าไม่ได้บีบอัดแน่นเหมือนกัน แต่มีความพิเศษที่ space ภายในเมื่อเรามองจากข้างนอกเข้าไปข้างในเราจะรู้สึกว่าเราเห็น space เป็นห้วงๆแต่เมื่อกลับกันเรามองจากข้างในไปข้างนอก space ที่เป็นห้วงๆนั้นจะรวมกันเป็น space เดียวกัน มีการลดลันกำแพงโดยการใช้เสาคู่และถ้าสีตรงเสาเพื่อให้ระนาบกำแพงเชื่อมต่อกันไม่ตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง วัดนี้เป็นวัดที่ทำให้ผมเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์จิ๋วอธิบายมากขึ้นจากวันแรกของการมาทริปนี้
สถานที่สุดท้ายของวันที่ได้ไปคือโรงแรมราชมังคลา ความรู้สึกแรกที่เห็นโรงแรมนี้คือนี้มันวัดนี้หว่า โรงแรมนี้ได้นำส่วนสำคัญต่างๆของวัดมาใช้ในการออกแบบ ตั้งแต่ลานทางเข้าหรือแม้กระทั่งรูปด้านของตัวอาคาร ส่วนที่พักมีการใช้ space การล้อม court ของวัดมาช่วยในการออกแบบทำให้มี space ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้วัสดุที่ใช้ยังมีการนำเหล็กมาประยุกต์ใช้เป็นกลอนระแนงทำให้หลังคาเกิดความโค้งทำให้เข้ากับยุคสมัยได้อย่างลงตัว การฉาบปูนมีการใช้คนที่ไม่เคยฉาบปูนทำให้เกิดพื้นผิวที่ไม่เรียบเพิ่มทำให้เพิ่มเสน่ห์ในงานทำให้เหมือนวัดมากยิ่งขึ้น ในส่วนที่เป็นภัตราคารนี้ได้ออกแบบให้มีกลิ่นไอของสถาปัตยกรรมแบบจีนพอเข้าไปนั้นจะมีความรู้สึกได้กินข้าวอยู่ในโรงเตี๊ยมที่อยู่ในหนังจีน แต่ผมคิดว่ามันหลุดจากการแนวคิดที่เป็นวัดไทยเหมือนเป็นคนละอารมณ์ทำให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งกันเล็กน้อยหรือเพราะผมอาจยังไม่เข้าใจในตัวงานมากก็ได้ แต่ก็ดีใจที่ได้มาสถานที่แบบนี้เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสไหนอีกที่จะได้มาสถานที่ระดับนี้อีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น