วันที่ 5 กรกฎาคม 2552
เวลาประมาณเกือบ 9.00 น. พวกเราได้เริ่มเดินทางออกจากที่พักที่อยู่ในจังหวัดลำปาง ที่แรกที่เราไปคือ วัดไหล่หินหลวง ตั้งอยู่ที่ ต.ไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง พอถึงที่วัดไหล่หินหลวงฝนก็ตกพอดีซึ่งโชคไม่ดีนักกับการถ่ายภาพ พวกเราได้นั่งฟังการบรรยายของอาจารย์จิ๋วสักพักโดยส่วนตัวนั้นผมไม่ค่อยรู้เรื่องนักเกี่ยวกับการฟังบรรยายพอจะรู้เรื่องนิดๆหน่อยๆ แต่ก็พอจะจับประเด็นอะไรได้ตามความมั่วของตัวเอง พอเราฟังสักพักก็ได้เดินถ่ายรูปสิ่งที่สำคัญจากการฟังการบรรยายและสิ่งเราสนใจแต่การถ่ายภาพก็ยากลำบากเพราะฝนที่ตกลงมาต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งที่ผมได้จากการมาวัดไหล่หินหลวงครั้งนี้ ผมได้ความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ว่างที่ดูจากภายนอกเหมือนจะมีขนาดต่ำเกินไปแต่พอเข้าไปข้างในนั้นเป็นพื้นที่ว่างที่มีขนาดพอเหมาะกับการใช้งานไม่ได้ต่ำเกินไปเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก นอกจากนี้ยังมีการใช้พื้นที่ว่างในการชื้อชวนเข้าไปใช้งาน พื้นที่ที่อยู่ข้างในอีกด้วย และถ้าสังเกตดีๆวัดไหล่หินนี้จะไม่มีหลักในการสมมาตร แต่ดูแล้วจะไม่หนักข้างใดข้างหนึ่งจะรู้สึกมีความพอดี นอกจากพื้นที่ว่างที่น่าสนใจแล้วด้านตัวสถาปัตยกรรมยังมีความสวยงามสิ่งที่ตัวผมประทับใจคือการซ้อนชั้นหลังคาสามชั้นและรายละเอียดการแกะสลักลวดลายของตัวสถาปัตยกรรมและการคิดspace ต่างๆทำให้ผมทึ่งในความสามารถของคนสมัยก่อน ผมไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าวัดไหล่หินจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นยังไงแต่สำหรับผมคืออยากให้เป็นเหมือนอย่างนี้ตอนที่ผมได้ไปดูอยู่ ถ้าหากมีการซ่อมแซมหรือบูรณะก็ไม่อยากให้ใหม่เกินเพราะอาจทำให้หลักฐานประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้ อยากให้มีคนที่เข้าใจงานสถาปัตยกรรมของไทยอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเพราะตอนนี้ผมคิดว่าคนที่เข้าใจงานไทยนั้นมีน้อยลง รวมทั้งตัวผมเองด้วย จึงอยากให้ทุกคนช่วยอนุรักษ์งานสถาปัตยกรรมไทยให้ชนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้ดูได้ศึกษาไม่ใช้ปล่อยให้หายไปตามกาลเวลาเดี๋ยวจะกลายเป็นสิ่งที่เคยมีอยู่ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ ให้รู้ว่างานของไทยก็เยี่ยมไม่แพ้หรืออาจจะดีกว่างานของต่างประเทศที่พวกเราคลั่งไคล้ก็ได้
ที่ที่สองของวันนี้ที่พวกเราได้ไปคือพระธาตุลำปางหลวงซึ่งที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดังมากของจังหวัดลำปาง ในตอนที่เราไปนั้นได้มีการบูรณะซ่อมแซมอยู่ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นของเดิมๆ วัดนี้มีขนาดใหญ่กว่าวัดไหล่หินหลวงมากกระทั่งสิงห์ที่อยู่ทางเข้าก็ยังมีขนาดใหญ่กว่าเนื่องจากเป็นสถานที่ดังของจังหวัดเลยมีคนมาเที่ยวชมอย่างมากผิดกับสถานที่แรกซึ่งแทบจะไม่มีคนเลยนอกจากพวกเรา มันทำให้ผมเอะใจอะไรบางอย่างว่าทำไมเราถึงไม่ให้ความสำคัญเท่าๆกัน ในเมื่อต่างมีจุดเด่นของแต่ละที่ไม่เหมือนกัน การเข้าไปต่างสถานที่ก็จะได้ความรู้ต่างกัน ทำไมเค้าถึงไม่ให้ความสำคัญ ทำไม ทำไม ทำไม หนอ? หรือว่าผมจะเป็นคนโง่ที่คิดอยากให้มีการให้ความสำคัญเท่าๆกัน
ที่นี้ผมได้ความรู้เพิ่มมาอีกเรื่องคือเรื่อง positive กับ negative space ซึ่งก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก ผมคิดในใจว่าคนสมัยก่อนนั้นเค้าคิดถึงขนาดนี้เลยหรอ มันช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ขนาดคิดมุมมองขนาดเรายืนกับมุมมองขนาดเรานั่งยังไม่เหมือนกันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ความยิ่งใหญ่ของงานต่างๆมันช่างน่าเลื่อมใสจริงๆ แล้วทำให้คิดว่าคนเดี๋ยวนี้เค้าคิดได้ยังนี้ไหมน่ามันช่างน่าสงสัยจริงๆ
ผมได้ไปถ่ายภาพวิหารที่อยู่ใกล้ๆซึ่งมีรูปแบบที่เหมือนกันแตกต่างกันเพียงอันหนึ่งบูรณะทั้งหลังแล้วกับอีกอันที่ยังเหมือนเดิมความแตกต่างเห็นอย่างได้ชัดเจนจากวัสดุที่ใช้ในงานความมีเสน่ห์ตามกาลเวลาขาดหายไปอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงได้ถ่ายภาพวิหารที่มีสภาพเดิมมากเป็นพิเศษกลัวว่าวันใดวันหนึ่งถ้าเรากลับมาแล้วจะไม่มีของสภาพยังนี้ให้เราได้ดูจะทำให้รู้สึกเสียดาย ผมว่าการบูรณะซ่อมแซมมันก็ดีกับการใช้งานแต่ก็ไม่ควรทำให้ใหม่หมดเพราะมันจะใหม่เกินทำให้เราไม่เห็นสิ่งที่เราโหยหาในอดีต บูรณะส่วนที่จำเป็นจริงๆน่าจะดีกว่า
ต่อจากพระธาตุลำปางหลวงเราได้เดินทางมายังวัดปงยางคก ในวัดปงยางคกมีวิหารพระแม่เจ้าจามเทวีที่มีความดั้งเดิมเหลืออยู่ รอบๆวิหารแต่ก่อนน่าจะเป็นลานทรายซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่ๆคนในชุมชนมาทำกิจกรรมร่วมกันในวันสำคัญทางศาสนา แต่ตอนนี้กลายเป็นลานหินกรวด ภายในวิหารมีการเขียนลวดลายที่สวยงามแทบจะทุกส่วนของโครงสร้างวิหารทำให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น
หลังจากไปดูทั้ง 3 ที่ผมก็คิดว่าถ้าไม่มีการบูรณะซ่อมแซมก็จะเสียหายไปเรื่อยๆแต่ถ้าบูรณะแล้วจะไม่เหมือนเดิมในฐานะที่เป็นนักศึกษาสถาปัตยกรรมจึงคิดว่าเราควรจะทำการบูรณะให้มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ให้น้ำหนักอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป นอกจากนี้ยังคำนึงถึงความสามารถในการใช้งานได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย

ที่ที่สองของวันนี้ที่พวกเราได้ไปคือพระธาตุลำปางหลวงซึ่งที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดังมากของจังหวัดลำปาง ในตอนที่เราไปนั้นได้มีการบูรณะซ่อมแซมอยู่ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นของเดิมๆ วัดนี้มีขนาดใหญ่กว่าวัดไหล่หินหลวงมากกระทั่งสิงห์ที่อยู่ทางเข้าก็ยังมีขนาดใหญ่กว่าเนื่องจากเป็นสถานที่ดังของจังหวัดเลยมีคนมาเที่ยวชมอย่างมากผิดกับสถานที่แรกซึ่งแทบจะไม่มีคนเลยนอกจากพวกเรา มันทำให้ผมเอะใจอะไรบางอย่างว่าทำไมเราถึงไม่ให้ความสำคัญเท่าๆกัน ในเมื่อต่างมีจุดเด่นของแต่ละที่ไม่เหมือนกัน การเข้าไปต่างสถานที่ก็จะได้ความรู้ต่างกัน ทำไมเค้าถึงไม่ให้ความสำคัญ ทำไม ทำไม ทำไม หนอ? หรือว่าผมจะเป็นคนโง่ที่คิดอยากให้มีการให้ความสำคัญเท่าๆกัน
ที่นี้ผมได้ความรู้เพิ่มมาอีกเรื่องคือเรื่อง positive กับ negative space ซึ่งก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก ผมคิดในใจว่าคนสมัยก่อนนั้นเค้าคิดถึงขนาดนี้เลยหรอ มันช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ขนาดคิดมุมมองขนาดเรายืนกับมุมมองขนาดเรานั่งยังไม่เหมือนกันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ความยิ่งใหญ่ของงานต่างๆมันช่างน่าเลื่อมใสจริงๆ แล้วทำให้คิดว่าคนเดี๋ยวนี้เค้าคิดได้ยังนี้ไหมน่ามันช่างน่าสงสัยจริงๆ
ผมได้ไปถ่ายภาพวิหารที่อยู่ใกล้ๆซึ่งมีรูปแบบที่เหมือนกันแตกต่างกันเพียงอันหนึ่งบูรณะทั้งหลังแล้วกับอีกอันที่ยังเหมือนเดิมความแตกต่างเห็นอย่างได้ชัดเจนจากวัสดุที่ใช้ในงานความมีเสน่ห์ตามกาลเวลาขาดหายไปอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงได้ถ่ายภาพวิหารที่มีสภาพเดิมมากเป็นพิเศษกลัวว่าวันใดวันหนึ่งถ้าเรากลับมาแล้วจะไม่มีของสภาพยังนี้ให้เราได้ดูจะทำให้รู้สึกเสียดาย ผมว่าการบูรณะซ่อมแซมมันก็ดีกับการใช้งานแต่ก็ไม่ควรทำให้ใหม่หมดเพราะมันจะใหม่เกินทำให้เราไม่เห็นสิ่งที่เราโหยหาในอดีต บูรณะส่วนที่จำเป็นจริงๆน่าจะดีกว่า
ต่อจากพระธาตุลำปางหลวงเราได้เดินทางมายังวัดปงยางคก ในวัดปงยางคกมีวิหารพระแม่เจ้าจามเทวีที่มีความดั้งเดิมเหลืออยู่ รอบๆวิหารแต่ก่อนน่าจะเป็นลานทรายซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่ๆคนในชุมชนมาทำกิจกรรมร่วมกันในวันสำคัญทางศาสนา แต่ตอนนี้กลายเป็นลานหินกรวด ภายในวิหารมีการเขียนลวดลายที่สวยงามแทบจะทุกส่วนของโครงสร้างวิหารทำให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น
หลังจากไปดูทั้ง 3 ที่ผมก็คิดว่าถ้าไม่มีการบูรณะซ่อมแซมก็จะเสียหายไปเรื่อยๆแต่ถ้าบูรณะแล้วจะไม่เหมือนเดิมในฐานะที่เป็นนักศึกษาสถาปัตยกรรมจึงคิดว่าเราควรจะทำการบูรณะให้มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ให้น้ำหนักอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป นอกจากนี้ยังคำนึงถึงความสามารถในการใช้งานได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น