วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

9 Days 8 Night ที่สุดของการเดินทาง...........!!?

วันที่ 4 กรกฎาคม 2552
วันนี้เป็นวันแรกของการออกเดินทางไกลในการไปทิปอาจารย์จิ๋ว ซึ่งมีการนัดกันไว้ตอน 6 โมงเช้าของวันนี้แต่การเดินทางจริงๆนั้นได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 8.30 เนื่องจากความล้าช้าของตัวพวกเราเอง พอขึ้นรถนั้นแทบจะทุกคนนั้นหลับเกือบทั้งหมดไม่ค่อยจะมีการพูดคุยกัน ไม่มีการเล่นอะไรต่างๆที่เฮฮาผิดกับที่คิดไว้ ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น จะตื่นมาเป็นทุกระยะๆในเวลาที่รถหยุดพักแวะเข้าปั๊ม ตัวผมนั้นได้อยู่บนรถที่พี่แป๊ะเป็นคนขับ หรืออาจจะเรียกว่า “ยานแม่” ก็ได้เพราะเป็นคันที่นำขบวนรถทุกคันเป็นแม่ทัพของการเดินทางครั้งนี้ (แถมขับรถเร็วและแรงอีกต่างหาก)
ทิปนี้เริ่มขึ้นที่จังหวัดสระบุรีเป็นจังหวัดที่ตัวผมคิดว่าไม่ค่อยมีอะไร และก็ไม่คิดว่าจะแวะที่จังหวัดนี้เป็นจังหวัดแรกด้วย ที่สระบุรีนั้นพวกเราได้มาที่ “บ้านเขาแก้ว” ซึ่งดูจากข้างนอกนั้นก็เป็นเหมือนของชาวบ้านทั่วๆไปนั้นแหละครับ แต่พอได้เดินเข้าไปแล้วเกิดประทับใจกับศาลาทางเข้าครับเพราะผมว่ามันดูน่ารักดี มีบรรยากาศที่ดีตั้งอยู่บนลำน้ำเล็กๆ ข้างๆเป็นเหมือนสวนเล็กๆ มีต้นไม้นานาชนิดมากมายเป็นส่วนที่ช่วยสงเสริมทางเข้าได้อย่างดี มันเป็นพื้นที่เล็กๆที่มีบรรยากาศแบบบ้านๆไม่เลิศหรูแต่ดูมีเสน่ห์ที่เจ้าของบ้านจัดเตรียมให้แขกบ้านแขกเรือนที่มาเยือนมาเพื่อรอเจ้าของบ้านมาต้อนรับ
พอเข้ามาถึงบริเวณลานบ้านเจ้าของบ้านซึ่งเป็นคนรู้จักอาจารย์จิ๋วก็มาต้อนรับและอธิบายให้ความรู้ ข้อมูลต่างๆมากมาย ซึ่งตัวผมเองเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสาของคนที่ไม่ค่อยรู้อะไรเลย มองจากบริเวณลานบ้านเข้าไปเราจะเห็นบ้านเรือนไทยที่ดูมีอายุมาก ดูเก่าแก่ นอกจากเรือนไทยที่อยู่บริเวณลานหน้าบ้าน รอบๆบริเวณนี้จะมีอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับวิถีของชาวบ้านให้ดู เหมือนเป็นส่วนให้ความรู้กับวิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน แล้วทางด้านหลังยังมีส่วนที่มีเรือนต่างๆที่มีของอนุรักษ์มากมายไม่ว่าจะเป็น เครื่องปั้นต่างๆ อุปกรณ์ต่างๆ หรือจะะเป็นเครื่องดนตรีอีกด้วย ซึ่งเรือนต่างๆเหล่านี้จะตั้งอยู่บนสระน้ำทำให้บรรยากาศของส่วนนี้เย็นมากมีหมู่แมกไม้นานาพันธุ์ล้อมรอบ ไม่คิดว่าจะมีส่วนอย่างนี้อยู่ในบ้านตอนแรกนึกว่ามีแค่เรือนไทยอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้ตัวผมเกิดความประทับใจกับ “บ้านเขาแก้ว” มากๆผมรู้สึกว่าบ้านหลังนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทุกสรรพสิ่งที่มนุษย์ต้องการนั้นก็คือปัจจัย 4 เป็นบ้านที่กลมกลืนพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ แสดงวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างแท้จริงว่ามนุษย์ต้องการอะไรบ้าง อยู่กับธรรมชาติจริงๆ โดยปราศจากความเลิศหรูต่างๆ ที่ไม่จำเป็นในการดำเนินชีวิต
ประมาณตอนเที่ยงเพวกเราก็ได้ออกมาจาก“บ้านเขาแก้ว”เพื่อออกมากินข้าวเราได้เดินข้ามมาอีกฝั่งของ “บ้านเขาแก้ว” พวกเราก็มาถึง “พิพิธภัณฑ์เรือลุ่มน้ำป่าสัก” นอกจากเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วที่นี้ยังเป็น “หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน สระบุรี” อีกด้วยเป็นศุนย์ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาวไทยวนและให้ความรู้เกี่ยวกับเรือประเภทต่างๆ เราได้มากินข้าวมื้อเที่ยงที่นี้ โดยมีเรือนไทยเป็นเรือนรับแขก มีพื้นที่ใต้ถุนเป็นพื้นที่ใช้ทำกิจกรรมต่างๆ พอมองจากด้านบนลงไปด้านล่างเราจะเห็น เรือนที่ลอยอยู่บนแม่น้ำป่าสัก พอผมเห็นตรงนั้นผมก็ตัดสินใจว่าจะลงไปกินข้าวที่นั้นเพราะที่ตรงนั้นเป็นที่ๆมีบรรยากาศดีที่สุดสำหรับผม
พอลองลงไปแล้วมองขึ้นไปเห็นเรือนไทยที่เป็นเรือนรับแขกจะมีความใหญ่มากมีความรมรื่นจากต้นไม้ใหญ่ต่างๆทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีอย่างบอกไม่ถูก สำหรับผมแล้วสถานที่แห่งนี้อารมณ์เหมือนสถานที่พักผ่อนมากกว่าพิพิธภัณฑ์ซะอีก พอกินข้าวเสร็จก็จะมีการแสดงจากน้องที่มาเรียนรู้วัฒนธรรมประจำถิ่นทุกๆวันเสาร์-อาทิตย์ ผมว่าเป็นเรื่องดีที่มีการเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆเพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้สูญหายไปเพราะปัจจุบันวัฒนธรรมพื้นถิ่นต่างๆกำลังเลือนหายไปกับความเจริญที่ก้าวหน้าไปทุกๆวัน ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยากเห็นวัฒนธรรมสูญหายไปอยากเห็น วัฒนธรรมเประจำชาติ-ถิ่นจริญขึ้นไปเคียงคู่กับความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสามารถประยุกต์ใช้


ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม จึงขอขอบคุณอาจารย์ทุกๆท่านที่พามาที่แห่งนี้และน้องนักแสดงทุกคนที่แสดงถึง
วัฒนธรรมประจำถิ่นให้ได้ชม
หลังมื้อเที่ยงเราก็ได้ออกเดินทางไปยังจังหวัดกำแพงเพชรซึ่งใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะถึงจังหวัดกำแพงเพชรเราถึงกำแพงเพชรประมาณเวลา 6 โมงเย็นโดยจุดมุ่งหมายที่มากำแพงเพชรนี้คือมาที่เมืองเก่าพอมาถึงที่นี้อาจารย์จิ๋วก็ได้อธิบายเกี่ยวกับความเป็นมารวมถึงงานสถาปัตยกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องแล้วพวกเราก็ได้เดินถ่ายรูปต่างๆจนแสงพระอาทิตย์ในวันนี้หมด วันแรกของการมาทิปก็หมดตามแต่การเดินทางนั้นยังไม่ได้จบเพราะจุดมุ่งหมายต่อไปคือจังหวัดลำปาง พวกเราจึงเดินทางไปจังหวัดลำปางในเย็นวันนั้นและถึงที่พักประมาณตอนตี 1 พอถึงที่พักผมคิดว่าทิปนี้นี้มันช่างหนักซะจริงๆ
วันที่ 5 กรกฎาคม 2552
เวลาประมาณเกือบ 9.00 น. พวกเราได้เริ่มเดินทางออกจากที่พักที่อยู่ในจังหวัดลำปาง ที่แรกที่เราไปคือ วัดไหล่หินหลวง ตั้งอยู่ที่ ต.ไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง พอถึงที่วัดไหล่หินหลวงฝนก็ตกพอดีซึ่งโชคไม่ดีนักกับการถ่ายภาพ พวกเราได้นั่งฟังการบรรยายของอาจารย์จิ๋วสักพักโดยส่วนตัวนั้นผมไม่ค่อยรู้เรื่องนักเกี่ยวกับการฟังบรรยายพอจะรู้เรื่องนิดๆหน่อยๆ แต่ก็พอจะจับประเด็นอะไรได้ตามความมั่วของตัวเอง พอเราฟังสักพักก็ได้เดินถ่ายรูปสิ่งที่สำคัญจากการฟังการบรรยายและสิ่งเราสนใจแต่การถ่ายภาพก็ยากลำบากเพราะฝนที่ตกลงมาต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งที่ผมได้จากการมาวัดไหล่หินหลวงครั้งนี้ ผมได้ความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ว่างที่ดูจากภายนอกเหมือนจะมีขนาดต่ำเกินไปแต่พอเข้าไปข้างในนั้นเป็นพื้นที่ว่างที่มีขนาดพอเหมาะกับการใช้งานไม่ได้ต่ำเกินไปเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก นอกจากนี้ยังมีการใช้พื้นที่ว่างในการชื้อชวนเข้าไปใช้งาน พื้นที่ที่อยู่ข้างในอีกด้วย และถ้าสังเกตดีๆวัดไหล่หินนี้จะไม่มีหลักในการสมมาตร แต่ดูแล้วจะไม่หนักข้างใดข้างหนึ่งจะรู้สึกมีความพอดี นอกจากพื้นที่ว่างที่น่าสนใจแล้วด้านตัวสถาปัตยกรรมยังมีความสวยงามสิ่งที่ตัวผมประทับใจคือการซ้อนชั้นหลังคาสามชั้นและรายละเอียดการแกะสลักลวดลายของตัวสถาปัตยกรรมและการคิดspace ต่างๆทำให้ผมทึ่งในความสามารถของคนสมัยก่อน ผมไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าวัดไหล่หินจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นยังไงแต่สำหรับผมคืออยากให้เป็นเหมือนอย่างนี้ตอนที่ผมได้ไปดูอยู่ ถ้าหากมีการซ่อมแซมหรือบูรณะก็ไม่อยากให้ใหม่เกินเพราะอาจทำให้หลักฐานประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้ อยากให้มีคนที่เข้าใจงานสถาปัตยกรรมของไทยอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเพราะตอนนี้ผมคิดว่าคนที่เข้าใจงานไทยนั้นมีน้อยลง รวมทั้งตัวผมเองด้วย จึงอยากให้ทุกคนช่วยอนุรักษ์งานสถาปัตยกรรมไทยให้ชนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้ดูได้ศึกษาไม่ใช้ปล่อยให้หายไปตามกาลเวลาเดี๋ยวจะกลายเป็นสิ่งที่เคยมีอยู่ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ ให้รู้ว่างานของไทยก็เยี่ยมไม่แพ้หรืออาจจะดีกว่างานของต่างประเทศที่พวกเราคลั่งไคล้ก็ได้
ที่ที่สองของวันนี้ที่พวกเราได้ไปคือพระธาตุลำปางหลวงซึ่งที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดังมากของจังหวัดลำปาง ในตอนที่เราไปนั้นได้มีการบูรณะซ่อมแซมอยู่ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นของเดิมๆ วัดนี้มีขนาดใหญ่กว่าวัดไหล่หินหลวงมากกระทั่งสิงห์ที่อยู่ทางเข้าก็ยังมีขนาดใหญ่กว่าเนื่องจากเป็นสถานที่ดังของจังหวัดเลยมีคนมาเที่ยวชมอย่างมากผิดกับสถานที่แรกซึ่งแทบจะไม่มีคนเลยนอกจากพวกเรา มันทำให้ผมเอะใจอะไรบางอย่างว่าทำไมเราถึงไม่ให้ความสำคัญเท่าๆกัน ในเมื่อต่างมีจุดเด่นของแต่ละที่ไม่เหมือนกัน การเข้าไปต่างสถานที่ก็จะได้ความรู้ต่างกัน ทำไมเค้าถึงไม่ให้ความสำคัญ ทำไม ทำไม ทำไม หนอ? หรือว่าผมจะเป็นคนโง่ที่คิดอยากให้มีการให้ความสำคัญเท่าๆกัน
ที่นี้ผมได้ความรู้เพิ่มมาอีกเรื่องคือเรื่อง positive กับ negative space ซึ่งก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก ผมคิดในใจว่าคนสมัยก่อนนั้นเค้าคิดถึงขนาดนี้เลยหรอ มันช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ขนาดคิดมุมมองขนาดเรายืนกับมุมมองขนาดเรานั่งยังไม่เหมือนกันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ความยิ่งใหญ่ของงานต่างๆมันช่างน่าเลื่อมใสจริงๆ แล้วทำให้คิดว่าคนเดี๋ยวนี้เค้าคิดได้ยังนี้ไหมน่ามันช่างน่าสงสัยจริงๆ
ผมได้ไปถ่ายภาพวิหารที่อยู่ใกล้ๆซึ่งมีรูปแบบที่เหมือนกันแตกต่างกันเพียงอันหนึ่งบูรณะทั้งหลังแล้วกับอีกอันที่ยังเหมือนเดิมความแตกต่างเห็นอย่างได้ชัดเจนจากวัสดุที่ใช้ในงานความมีเสน่ห์ตามกาลเวลาขาดหายไปอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงได้ถ่ายภาพวิหารที่มีสภาพเดิมมากเป็นพิเศษกลัวว่าวันใดวันหนึ่งถ้าเรากลับมาแล้วจะไม่มีของสภาพยังนี้ให้เราได้ดูจะทำให้รู้สึกเสียดาย ผมว่าการบูรณะซ่อมแซมมันก็ดีกับการใช้งานแต่ก็ไม่ควรทำให้ใหม่หมดเพราะมันจะใหม่เกินทำให้เราไม่เห็นสิ่งที่เราโหยหาในอดีต บูรณะส่วนที่จำเป็นจริงๆน่าจะดีกว่า

ต่อจากพระธาตุลำปางหลวงเราได้เดินทางมายังวัดปงยางคก ในวัดปงยางคกมีวิหารพระแม่เจ้าจามเทวีที่มีความดั้งเดิมเหลืออยู่ รอบๆวิหารแต่ก่อนน่าจะเป็นลานทรายซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่ๆคนในชุมชนมาทำกิจกรรมร่วมกันในวันสำคัญทางศาสนา แต่ตอนนี้กลายเป็นลานหินกรวด ภายในวิหารมีการเขียนลวดลายที่สวยงามแทบจะทุกส่วนของโครงสร้างวิหารทำให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น
หลังจากไปดูทั้ง 3 ที่ผมก็คิดว่าถ้าไม่มีการบูรณะซ่อมแซมก็จะเสียหายไปเรื่อยๆแต่ถ้าบูรณะแล้วจะไม่เหมือนเดิมในฐานะที่เป็นนักศึกษาสถาปัตยกรรมจึงคิดว่าเราควรจะทำการบูรณะให้มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ให้น้ำหนักอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป นอกจากนี้ยังคำนึงถึงความสามารถในการใช้งานได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย
วันที่ 6 กรกฎาคม 2552
วันนี้เราได้เดินทางไปยังชุมชนๆหนึ่งซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนจริงๆของลำปางผมได้เดินถ่ายภาพไปเรื่อยๆไปดูความเป็นไปของชุมชน ลักษณะของตัวบ้านซึ่งบ้านส่วนใหญ่จะมีการยกใต้ถุนสูง พื้นที่บริเวณใต้ถุนใช้นั่งทำกิจกรรมต่างๆ มีการวางตัวยุ้งข้าวไว้เป็นอีกเรือนหนึ่ง การวางตัวบ้านกลมกลืนไปกับต้นไม้นานาชนิดตั้งแต่ทางเข้าบ้าน มีพืชพันธุ์นานาชนิดมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ปลูกเพื่อกินเอง นำไปขาย และแบ่งปันให้กับบ้านใกล้เรือนเคียง เป็นสังคมที่มีการพึ่งพาอาศัยกันเป็นสังคมเกษตรกรรมซึ่งหาได้ยากมากในชุมชนเมืองที่มีการแข่งขันตลอดเวลา แต่คนอาศัยอยู่ที่นี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กและคนแก่ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นทำให้คิดว่าคนเดี๋ยวนี้หันหลังให้กับงานเกษตรแล้วหันไปหางานในเมืองทำแทนมันอาจจะเกิดเพราะความเปลี่ยนแปลงเจริญก้าวหน้าตลอดเวลาทำให้คนอยากได้อยากมี ซึ่งการทำการเกษตรผลตอบแทนได้ช้าไม่เหมือนการทำงานในเมืองที่ได้รวดเร็วจึงทำให้คนละถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อไปแสวงหาสิ่งต่างๆในเมืองลืมตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ทิ้งคนแก่และเด็กไว้ทำให้ความเป็นครอบครัวสมัยก่อนค่อยๆจางหายไปโดยไม่รู้ตัว….
พอเดินไปเรื่อยๆก็ได้ไปเจอกับนาขั้นบันไดที่มีความอุดมสมบูรณ์เขียวขจี ชาวนากำลังทำนา เก็บผลผลิตที่ตัวเองทำขึ้นมา ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจ ทำให้นึกว่าประเทศของเรานี้ก้อยังมีพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์อยู่เยอะเหมือนกัน จึงไม่อยากให้มีการทำลายทรัพยากรไปมากกว่านี้อยากให้มีพื้นที่สีเขียวอย่างนี้เพิ่มขึ้นมาอีกในประเทศของเราเรื่อยๆ
ช่วงบ่ายของวันพวกเราก็ได้ไปชุมขนเก่าแห่งหนึ่งผมได้ไปกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 20 บาท ถูกมากครับกับสิ่งที่เค้าให้มาถ้ามากินในเมืองอย่างต่ำผมว่าชามละ 50 ครับผมรู้อย่างหนึ่งเลยว่าคนต่างจังหวัดใจดีมากครับ ต้อนรับดีเป็นกันเอง สังคมเค้าพึ่งพาซึ่งกันและกันทุกคนรู้จักกันหมด ผมอยากให้สังคมเมืองที่เราอยู่เป็นอย่างนี้บ้างครับ พอกินเสร็จผมก็ได้เดินดูบ้านบริเวณรอบๆ บ้านสวนใหญ่เป็นบ้านที่สร้างมานานมีความสวยงามตามกาลเวลา หลังจากดูบริเวณรอบๆเสร็จก็ได้เดินลุยไปในนาสนุกดี ครับรู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติแต่รู้สึกผิดที่ไปเหยียบนาของชาวบ้าน ขากลับได้ผ่านบ้านหลังหนึ่งที่มีส่วนของหน้าบ้านเป็นนาที่เขียวขจีสวยครับสวยมากเป็น landscape แบบชาวบ้านๆที่มีความสวยงามแบบที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของเจ้าของบ้านครับ
ผมดีใจครับที่ประเทศของเรายังมีของยังนี้อยู่ดีใจที่ได้เดินทางออกมาดูให้เห็นกับตาเป็นการเปิดโลกให้กับตัวเองอย่างมาก อยากให้ทุกคนช่วยกันรักษาความอุดมสมบูรณ์ที่เหลืออยู่ให้คงอยู่ต่อไป
วันที่ 7 กรกฎาคม 2552
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ได้อยู่ที่จังหวัดลำปางเราเดินทางออกจากที่พักมาวัดสุชาดารามเป็นที่แรก ซึ่งในวัดนี้มีวิหารที่มีงานสถาปัตยกรรมแบบพม่า ซึ่งวิหารแบบพม่านั้นจะมีลวดลายเยอะมากเยอะกว่าวิหารแบบไทยนอกจากนี้ยังประดับไปด้วยคิวปิดซึ่งเป็นเทพแห่งความรักตามความเชื่อของชาวตะวันตกอีกด้วย งานสถาปัตยกรรมจึงออกแนวตะวันตก มีการใช้กระจกในการประประดาส่วนต่างๆของตัวงานสถาปัตยกรรม
เสร็จจากวัดสุชาดารามแล้วเราก็ดินทางไปดูงานสถาปัตยกรรมแบบพม่าที่วัดอีกวัดหนึ่งนั้นคือวัดปงยางสนุก มีวิหารที่มีงานสถาปัตยกรรมแบบพม่าซึ่งวิหารนี้มีโครงสร้างที่ซับซ้อนอย่างมากมายแต่ลวดลายของวิหารที่วัดปงยางสนุกไม่สวยงามเท่ากับที่วัดสุชาดาราม ลวดลายของวิหารวัดปงยางสนุกทำมาจากปูนปั้น
สุดท้ายเราได้ไปยังวัดศรีรองเมืองซึ่งเป็นวัดแบบพม่าด้านหลังของวัดติดแม่น้ำวัง วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี
พ.ศ. 2448 ซึ่งถือเป็นวัดที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัดลำปางโดยตัววิหารสร้างด้วยไม้สัก หลังคาซ้อนเป็นซุ้มเรือนยอดและเป็นกลุ่มของชั้นหลังคา มีลายฉลุบนสังกะสี ใช้ประดับบนจั่วและเชิงชายเพิ่มความอ่อนช้อยและสง่างามให้กับตัววิหาร ภายในตัววิหารมีเสาไม้ตกแต่งด้วยศิลปะการปั้นรักเป็นลวดลายเครือดอกไม้ พันธุ์พฤกษา แล้วประดับด้วยกระจกหลากสี โดยเฉพาะเสาด้านหน้าพระประธานจะปั้นรักเป็นรูปเทพารักษ์ คน ยักษ์ วานร และสัตว์ป่า เหมือนในป่าหิมพานต์ ส่วนเพดานวิหารประดับด้วยกรอบลายเป็นช่องๆเต็มเพดานโดยปั้นเป็นเส้นรักและประดับด้วยกระจกสีเป็นลวดลายพันธุ์พฤกษา รูปสัตว์และรูปปั้นเทพารักษ์ คนที่เข้ามาใช้งานในวิหารหลังนี้จึงเหมือนอยู่บนสวรรค์ จากการตกแต่งด้วยวัสดุ และลวดลายต่างๆที่ทำให้คนจินตนาการถึงสรวงสวรรค์
นอกจากนั้นยังมีห้องน้ำแบบพม่าอยู่ภายนอกตัววิหารแต่เป็นห้องน้ำที่ไม่ได้ใช้แล้ว มีความสวยงามแปลกตามากไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นห้องน้ำ
พอเราดูวัดทั้งหมด 3 วัดแล้วเราก็ได้ออกเดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นจุดหมายต่อไปของพวกเราขณะเราเดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่เราก็ได้แวะที่จังหวัดลำพูนเพื่อไปถ่ายรูปบ้านโบราณซึ่งสร้างตั้งแต่ปี 2482 มีความสวยงามด้านพื้นที่ใช้สอยมีการยกใต้ถุนอาคารเพื่อเป็นที่ทำงานนั่งเล่นพื้นที่ใช้สอยของบ้านหลังนี้เป็นไปอย่างลงตัว ถ้าเราลองนำแนวความคิดของการออกแบบพื้นที่ใช้สอย space ต่างๆของบ้านแบบไทยไปประยุกต์ใช้กับงานออกแบบในปัจจุบัน ผมคิดว่าน่าจะได้งานที่มีคุณภาพออกมาเพราะผมคิดว่าแนวคิดในการออกแบบบ้านของคนสมัยก่อนค่อนข้างตรงไปตรงมาไม่เยินเย่อ ใช้พื้นที่ใช้สอยไม่เปลือง แถมมีความสลับซับซ้อน ของการเชื่อมต่อของ space แต่ละที่อีกด้วยมันจึงทำให้งานดูมีเสน่ห์อีกด้วย
วันที่ 8 กรกฎาคม 2552
เป็นวันแรกที่อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่สถานที่แรกที่ไปถึงคือ วัดพันเตา ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในวัดพันเตาแห่งนี้มีวิหารไม้ที่มีขนาดใหญ่โดยโครงสร้างเป็นไม้ทั้งหมด นอกจากนี้บริเวณด้านข้างของวิหารยังมีศาลาที่ใช้ภูมิปัญญาพื้นถิ่นในการวาง span เสา การผูกไม้ การทำหลังคาจากวัสดุพื้นถิ่น ถัดมาจากบริเวณวัดพันเตามีโรงแรมๆหนึ่งซึ่งได้ใช้แนวคิดของบ้านพื้นถิ่นมาใช้ในการออกแบบ ชื่อโรงแรมนี้คือโรงแรม U Chiang Mai ทำให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็น Boutique Hotel มีการบริการระดับ 5 ดาว ในส่วนตัวผมคิดว่าโรงแรมแห่งนี้มีสไตล์ความเป็น modern ผสมกับความเป็นพื้นถิ่นได้อย่างลงตัว มีการใช้สัจจะวัสดุทำให้เห็นเนื้อแท้ของวัสดุอย่างชัดเจนทำให้งานเกิดเสน่ห์อย่างมาก
หลังจากนั้นที่ต่อไปที่ไปคือวัดทุ่งอ้อตั้งอยู่ที่ ต.หารแก้ว อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ซึ่งทางเดินระหว่างเข้าไปนั้นจะเห็นรั้วบ้านของชาวบ้านที่มีพวกต้นไม้ ไม้เลื้อย ขึ้นบริเวณรั้วดูเหมือนไม่ตั้งใจสร้างแต่ที่จริงตั้งใจ ทำให้เกิดความรู้สึกร่มรื่นระหว่างทางเดินเข้าไปในวัดจากร่มเงาของต้นไม้ที่บริเวณของรั้วบ้าน พอเข้าถึงวัดทุ่งอ้อสิ่งที่เห็นก็คือวิหารที่มีการยกฐานสูงขึ้นโดยปกติวิหารภาคเหนือที่ไปดูมาจะไม่มีการยกฐานที่สูงขนาดนี้ นอกจากฐานที่ยกสูงแล้วตรงระเบียงทางเข้ายังมีขนาดใหญ่ ทางขึ้นไปวิหารมีขาดแคบมากทำให้รู้สึกถึง space ที่บีบอัดคับแคบ แต่พอลอดเข้าไปในวิหารระหว่างเสาใหญ่ทั้ง 2 ต้นตรงซุ้มประตูจะทำให้เกิดการเปลี่ยน space จากที่คับแคบกลายเป็น space ที่ยิ่งใหญ่เหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งเป็นแนวคิดในการดึงดูดคนให้เข้าไปใช้ ในตัววิหารได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ถ้าสังเกตบริเวณด้านหน้าทางเข้าซุ้มประตูที่มีสิงห์เฝ้าอยู่นั้นสิงห์คาบคนอยู่ซึ่งเป็นสิงห์แบบพม่า
วัดต่อไปที่พวกเราได้ไปนั้นคือวัดอินทราวาส ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ บริเวณรอบวัดมีการก่อกำแพงอิฐที่มีลักษณะเลื่อมล้ำกันทำให้เกิดความน่าสนใจตั้งแต่บริเวณกำแพงของทางเข้าวัดนี้ล้อมรอบไปด้วยต้นตาลขึ้นสูงเป็นตระหง่าน ในส่วนของวัดนั้นมีระเบียงคดล้อมรอบวิหาร มีศาลาอยู่ทางด้านซ้ายมือถ้ามองจากทางเข้า ซึ่งศาลานี้มีความพิเศษตรงโครงสร้างตรงการของหลังคาที่มีการซ้อนชั้นกัน นอกจากนี้ตรงขอบสันหลังคามีการประดับตกแต่งด้วยลวดลายมังกรที่มีการคายมังกรออกมาเรื่อยๆสร้างความสวยงามให้กับศาลาได้อย่างสวยงาม ในส่วนของตัววิหารนั้นมีการยกฐานสูงเหมือนวิหารของวัดทุ่งอ้อแต่ทางเข้าตรงระเบียงทางเข้าไม่ได้บีบอัดแน่นเหมือนกัน แต่มีความพิเศษที่ space ภายในเมื่อเรามองจากข้างนอกเข้าไปข้างในเราจะรู้สึกว่าเราเห็น space เป็นห้วงๆแต่เมื่อกลับกันเรามองจากข้างในไปข้างนอก space ที่เป็นห้วงๆนั้นจะรวมกันเป็น space เดียวกัน มีการลดลันกำแพงโดยการใช้เสาคู่และถ้าสีตรงเสาเพื่อให้ระนาบกำแพงเชื่อมต่อกันไม่ตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง วัดนี้เป็นวัดที่ทำให้ผมเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์จิ๋วอธิบายมากขึ้นจากวันแรกของการมาทริปนี้
สถานที่สุดท้ายของวันที่ได้ไปคือโรงแรมราชมังคลา ความรู้สึกแรกที่เห็นโรงแรมนี้คือนี้มันวัดนี้หว่า โรงแรมนี้ได้นำส่วนสำคัญต่างๆของวัดมาใช้ในการออกแบบ ตั้งแต่ลานทางเข้าหรือแม้กระทั่งรูปด้านของตัวอาคาร ส่วนที่พักมีการใช้ space การล้อม court ของวัดมาช่วยในการออกแบบทำให้มี space ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้วัสดุที่ใช้ยังมีการนำเหล็กมาประยุกต์ใช้เป็นกลอนระแนงทำให้หลังคาเกิดความโค้งทำให้เข้ากับยุคสมัยได้อย่างลงตัว การฉาบปูนมีการใช้คนที่ไม่เคยฉาบปูนทำให้เกิดพื้นผิวที่ไม่เรียบเพิ่มทำให้เพิ่มเสน่ห์ในงานทำให้เหมือนวัดมากยิ่งขึ้น ในส่วนที่เป็นภัตราคารนี้ได้ออกแบบให้มีกลิ่นไอของสถาปัตยกรรมแบบจีนพอเข้าไปนั้นจะมีความรู้สึกได้กินข้าวอยู่ในโรงเตี๊ยมที่อยู่ในหนังจีน แต่ผมคิดว่ามันหลุดจากการแนวคิดที่เป็นวัดไทยเหมือนเป็นคนละอารมณ์ทำให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งกันเล็กน้อยหรือเพราะผมอาจยังไม่เข้าใจในตัวงานมากก็ได้ แต่ก็ดีใจที่ได้มาสถานที่แบบนี้เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสไหนอีกที่จะได้มาสถานที่ระดับนี้อีก
วันที่ 9 กรกฎาคม 2552
เริ่มต้นของวันนี้พวกเราได้ไปที่ศูนย์วัฒนธรรมของมหาลัยเชียงใหม่ ในส่วนวัฒนธรรมนี้ได้รวมบ้านเรือนไทยทางภาคเหนือแบบต่างๆไว้ด้วยกันในพื้นที่ส่วนของมหาลัยเชียงใหม่ บ้านเรือนไทยภาคเหนือส่วนใหญ่ผนังจะมีลักษณะสอบออก นอกจากนี้บางหลังยังมีการตัดเสาตรงกลางเพื่อทำรางน้ำฝนไม่มีการปิดส่วนฝ้าโชว์โครงสร้างฝ้าเพดานบนฝ้าเพดานนั้นใช้เป็นพื้นที่วางของต่างๆ บางหลังเป็นเรือนแฝดมีรางน้ำอยู่ตรงกลางระหว่างเรือน บริเวณข้างเรือนแฝดมียุ้ฝข้าวขนาดใหญ่อยู่ ยุ้งข้าวนี้มีขนาดความสูงจากพื้นมาก บ้านแต่ละหลังนั้นมี space ที่ลื่นไหลในตัวของมันเอง มี space ส่วนเชื่อมต่อแต่ละส่วนอย่างน่าสนใจ ใต้ถุนที่ยกสูงของบ้านแต่ละหลังนั้นใช้เป็นพื้นที่เก็บของ บางหลังเหมือนจะใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ บางหลังใช้เป็นพื้นที่พักผ่อน โครงสร้างบ้านแต่ละหลังมีลักษณะเฉพาะตัว
หลังจากศึกษาเกี่ยวกับบ้านลักษณะต่างๆเสร็จเราก็ได้เดินทางจากเชียงใหม่เพื่อไปจุดหมายต่อไปนั้นคือเชียงใหม่ระหว่างทางเราก็ได้แวะอีกแล้วครับแวะไปยังหมู่บ้านที่อยู่ในจังหวัดแพร่ซึ่งลักษณะหมู่บ้านที่เราไปนั้นมีลักษณะการตั้งอยู่บริเวณที่เป็นเนินเขาเนื่องจากทางเชื่อมต่อระหว่างบ้านนั้นมีเส้นทางที่เป็นเนิน หมู่บ้านแห่งนี้มีลักษณะเป็นหมู่บ้านเกษตรกรม พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันซึ่งส่วนใหญ่หมู่บ้านในต่างจังหวัดจะมีลักษณะเช่นนี้อยู่ บ้านแต่ละหลังมีความสวยที่อาจจะเกิดจากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของเจ้าของบ้าน ความสวยที่เกิดสภาพแวดล้อมของธรรมชาติโดยรอบ เศรษฐกิจน่าจะเป็นอยู่อย่างพอมีพอกิน มันทำให้เห็นถึงความเลื่อมล้ำทางสังคมอย่างชัดเจน ในเมื่อสังคมเมืองพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมีคนรวยเกิดขึ้นมากมาย แต่สังคมชนบทกลับพัฒนาไปอย่างช้าๆ
ทำให้มีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างลำบาก แต่ในความที่เป็นสังคมชนบทนั้นก็มีข้อดีคือถึงจะพัฒนาไปอย่างช้าๆแต่ก็มีการช่วยเหลือกันตลอดเวลา มีความเอื้อเฟื้อต่อกันมากมาย ต่างจากสังคมเมืองที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่เลย ถ้าสังคมเมืองนั้นมีสิ่งเหล่านี้อยู่จะทำให้สังคมเมืองน่าอยู่ขึ้น และจะสามารถแบ่งปันความสะดวกสบายโดยไม่ทำลายวัฒนธรรมต่างๆของสังคมชนบททำให้สังคมชนบทมีความเจริญ เมื่อทั้งสังคมเมืองและชนบทเติบโตไปด้วยกันนั้นจะทำให้ประเทศพัฒนาไปได้ในทิศทางที่ดีและยังไม่ทำลายเอกลักษณ์ วัฒนธรรมพื้นถิ่นต่างๆของเราอีกด้วย
วันที่ 10 กรกฎาคม 2552
เริ่มต้นที่จังหวัดสุโขทัยวันแรกไปสนามบินประจำจังหวัดคือสนามบินสุโขทัย สนามบินสุโขทัยนี้ได้ออกแบบโดยใช้แนวความคิดสมัยใหม่ผนวกกับศิลปะสมัยสุโขทัย ทั้งการเจาะช่อง ลักษณะรูปทรงหลังคา การลดชั้นของหลังคา นอกจากนี้ยังมีการสร้างเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ไว้ด้านนอกของอาคาร บริเวณรอบสนามบินนั้นมีองค์ประกอบอื่นอีกมากมาย ทั้งส่วนเพาะชำต้นไม้ ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ โรงแรม
พวกเราได้เข้าไปยังส่วนของโรงแรมซึ่งโรงแรมก็ได้มีการใช้ศิลปะแบบสุโขทัยมาใช้ในการออกแบบ ในส่วนต้อนมีการวางเรือนหมู่มีการล้อม court เพื่อให้เป็นพื้นที่กิจกรรม ส่วนตัวโรงแรมมีการใช้วัสดุที่ใช้ในสมัยสุโขทัย เช่น อิฐ มาทำยังส่วนที่รูปด้านของอาคาร หรือนำมาก่อเป็นเสาประดับตกแต่งทางเดิน มีการเปิดช่องหน้าต่าง ตามแบบศิลปะสุโขทัย
หลังจากนั้นก็ได้เดินทางมายังศูนย์อนุกรักษ์และศึกษาเตาสังคโลก รั้วโดยรอบของที่นี้ทำด้วยศิลาแลง ภายในแบ่งเป็นสองส่วนคือส่วนที่อยู่ด้านหน้าเป็นส่วนต้อนรับซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องสังคโลก และอีกส่วนที่อยู่ถัดไปคือส่วนเตาสังคโลกซึ่ง space ในการจัดพื้นที่ชมเตาสังคโลกในส่วนมี space ที่ลื่นไหลและน่าสนใจมีการเปลี่ยนระดับในการชมส่วนต่างๆของเตาสังคโลกจึงเกิด space การเรียนรู้ที่น่าสนใจ
ในช่วงบ่ายๆพวกเราไปก็มาถึงยังวัดเจดีย์เก้ายอดซึ่งตั้งอยู่บนฐานสูงซึ่งมีการใช่เส้นตั้งเส้นนอนที่สวยงามมีจังหวะด้านหลังวัดเจดีย์เก้ายอดเป็นวัดเจดีย์เอนซึ่งเจดีย์ของวัดนี้ตั้งอยู่บนฐานที่มีความสูงมากมีระดับชั้นแต่ละชั้นต่างกันมากทำให้มีการแบ่งเส้นระนาบออกเป็นชัดเจน ซึ่งวัดเจดีย์เอนมีเจดีย์ทรงพระระฆังหรือทรงลังกาเป็นพระประธานของวัด วิหารก่อสร้างด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่ทางด้านหน้าขององค์เจดีย์ประธานอยู่ในลักษณะทรุดเอนลงมาด้านหลัง ดังนั้นชาวบ้านจึงเรียกว่าวัดเจดีย์เอน ที่สุดท้ายของวันนี้คืออุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัสชนาลัย ในอุทยานแห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์สุโขทัยอย่างแท้จริงเพราะมีสิ่งก่อสร้าง งานสถาปัตยกรรมของสุโขทัยให้ศึกษาอย่างมากไม่ว่าจะเป็นลายแกะสลักบนผนังที่มีความวิจิตรสวยงามถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ เจดีย์ต่างๆ มีวัดที่มีรูปแบบต่างๆของสุโขทัยอยู่มากมาย สิ่งที่หลงเหลือเหล่านี้ทำให้เราสามารถสันนิษฐานสิ่งต่างๆที่อยู่ในอดีตได้ ทำให้เราสามารถได้รู้วิถีชีวิตความเป็นไปในสมัยก่อน หรือแม้กระทั้งความสามารถของคนในสมัยก่อน ทำให้เราเห็นรากเหง้าของตัวเองเห็นความเก่งกาจของบรรพบุรุษของเราว่าสามารถสร้างของยังนี้ขึ้นมาได้ไงมันเป็นความภูมิใจของเราเอง
วันที่ 11 กรกฎาคม 2552
วันนี้เป็นวันที่ต้องตื่นเช้าที่สุดของการมาทริปครั้งนี้ที่แห่งแรกที่มาก็คือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง เป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ประกอบด้วยปรางค์ประธานก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูนแล้วลงสีชาดทับ มีบันไดและซุ้มทางเข้าสู่องค์ปรางด้านหน้า ผนังภายในองค์ปรางค์มีร่องรอยของภาพจิตรกรรมฝาผนังแต่ลบเลือนมาก สันนิษฐานว่าปรางค์องค์เดิมเป็นปรางค์ (ปราสาท) ขอมได้รับการดัดแปลงให้เป็นปรางค์แบบไทยและได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยของสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ (อยุธยาตอนปลาย) รูปทรงปรางค์จึงสูงชลูดอย่างที่เห็น โบราณสถานทั้งหมดในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุถูกล้อมด้วยศิลาแลงแท่งกลมปักเรียงชิดติดกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมพื้นผ้า มีซุ้มประตูทางเข้าด้านหน้าเป็นแบบปราสาทขอมมียอดเป็นรูปพระพักตร์ของหระพรหม หรือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 พักตร์ วัดแห่งนี้มีระเบียงคดติดอยู่กับฐาน
อยู่ถัดจากวัดเชลียงก็จะเป็นวัดกุฎีราย วัดกุฎีรายสองหลังนี้สร้างด้วยศิลาแลงมีลักษณะการก่อแบบ core bell ตรงซุ้มประตูทางเข้า ทรวดทรงของกุฎีแห่งนี้มีชื่อเสียงว่างดงามมาก กุฎีทั้งสองต่อเนื่องด้วยวิหารโถง
ในช่วงบ่ายเราได้ไปยังอุทยานประวัติศาตร์สุโขทัยซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้อารายธรรมที่หลงเหลือของสุโขทัยในอดีตโดยวัดแรกที่ไปนั้นคือวัดพระศรีมหาธาตุโดยจุดเด่นของวัดนี้การใช้ space นำไปสู่พื้นที่ส่วนต่างๆโดยทางด้านซ้ายของวัดจะมีแต่ mass ทำให้มีความรู้สึกอึดอัดกว่าทางด้านขวาที่มีพื้นที่เปิดโล่งมากกว่าเป็นการใช้ spaceในการนำคนจาก space อึดอัดไปสู่ space ที่เปิดโล่งไม่อึดอัด ตามความรู้สึกของผู้ที่เข้ามาใช้
ต่อมาได้ไปวัดศรีสวายตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัดมหาธาตุ และอยู่ใกล้กับกำแพงสุโขทัยทางด้านทิศใต้ประกอบไปด้วยปรางค์ 3 องค์ที่มีรูปแบบศิลปะลพบุรี ซึ่งได้อิทธิพลจากศิลปะขอม แต่ลักษณะของปรางค์ค่อนข้างจะเพียวตั้งอยู่บนฐานเตี้ยๆ มีลวดลายปูนปั้นบางส่วนเหมือนลายบนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน ได้พบทับหลังสลักเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ชิ้นส่วนของเทวรูป และศีวลึงค์ ส่วนด้านหน้าขององค์ปรางมีวิหาร 2 หลังที่เชื่อมต่อกัน โบราณสถานทั้งหมดรายล้อมด้วยกำแพงที่ก่อด้วยศิลาแลง
พอเสร็จจากวัดศรีสวายก็ได้มายังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งออกแบบใช้ลักษณะแนวคิดศิลปะสุโขทัยมาออกแบบมีการวางเรือนต่างๆอย่างเหมาะสมเรือนทุกเรือนสามารถมองเห็นซึ่งกันแหละกันโดยเรือนแต่ละเรือนมีการใช้ ลานข้างหน้าเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกัน
หลังจากนั้นเราก็มายังวัดพระพายหลวงซึ่งมีกลุ่มเจดีย์ 3 องค์อยู่ข้างหน้ามีลักษณะเป็นศิลปะแบบขอม ผังของวัดพระพายหลวงมีลีกษณะเป็น linear คือมีลักษณธเป็นทางยาวโดยวัดนี้ผ่านการบูรณะปฏิสังขรณ์ในสมัยสุโขทัยมาหลายครั้งเป็นงานที่แสดงถึงงานก่อสร้างก่อนสถาปนาสุโขทัยเป็นราชธานี
สุดท้ายพวกเราก็มาจบลงที่วัดศรีชุมวัดนี้มีจุดเด่นที่ space ที่แคบแล้วมองไปยังพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระพุทธรูป นอกจากนี้ลักษณะของวัดนี้ยังมีลักษณะของสถาปัตยกรรมตะวันตกปนอยู่ด้วยซึ่งสังเกตได้จากลายบนผนังซึ่งไม่น่าจะใช้ลายไทย
วันที่ 12 กรกฎาคม 2552
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการออกทริปครั้งมันน่าเสียดายยิ่งนักที่ทริปนี้จบลง เพราะยังมีความรู้สึกอยากรู้อะไรที่เกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรมของไทยมากกว่านี้ วันนี้เราได้ออกเดินทางจากสุโขทัยมายังจังหวัดพิษณูโลกเลยไม่ได้แวะที่ไหนสักแห่งวัดแรกที่เรามาดูคือวัดพระรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารซึ่งเป็นวัดในสมัยสุโขทัยที่สมบูรณ์ที่สุดที่หลงเหลืออยู่เป็นวัดที่มีความยิ่งใหญ่แต่ผู้คนพลุกพล่านมากไม่ค่อยมีความสงบเท่าที่ควร อีกวัดคือวัดราชบูรณะมีวิหารแบบสุโขทัยแท้ๆมีแผ่นกระดานรับกลอน และมีหลังคาปีกนกยื่นออกไป ข้างนอกวิหารมี การทำกิจกรรมเพื่อให้เกิดศิริมงคลกับตัวเราเอง 8 อย่าง ซึ่งตัวผมนั้นได้ทำไปแค่อย่างเดียวคือปีนลอดต้นโพธิ์ 9 รอบ
หลังจากเสร็จจากวัดนี้พวกเราก็กินข้าว จับจ่ายซื้อของฝากไปฝากครอบครัว คนที่รู้จักต่างๆมากมาย แล้วจึงออกเดินทางกลับมายังที่ลาดกระบังเป็นอันเสร็จสิ้น ทริปอาจารย์จิ๋วครั้งนี้อย่างปลอดภัย ถ้าวันใดวันหนึ่งผมมีโอกาสผมจะไปอีกไปเพื่อหาความรู้หาตัวตนของวัฒนธรรมของเรา ไม่ให้ลืมรากเหง้าของเรา และนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมตามกาลเวลาโดยสมควรไม่ปล่อยทิ้งคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเราให้หายไปตามเวลา
จึงอยากขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่ได้มอบโอกาสอันดีนี้ในการกลับไปหาอดีตเพื่อไปสู่อนาคตที่ดีให้กับตัวของผม ขอขอบคุณครับ