วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มาริโอ ตามัญโญ ( 2420-2484)

มาริโอ ตามัญโญ (Mario Tamagno) เป็นสถาปนิกชาวอิตาลี เกิดที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2420 จบการศึกษาทางด้านสถาปัตยกรรม จากสถาบันประณีตศิลป์ อัลแบร์ติน่า ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี
หลังจบการศึกษานายมาริโอ ตามัญโญ ได้เดินทางเข้ามารับราชการในประเทศไทย โดยได้เข้ามารับราชการในกระทรวงโยธาธิการแห่งประเทศสยาม ซึ่งได้เดินทางมาถึงกรุงเทพฯในปีพ.ศ. 2443 โดยมีสัญญาว่าจ้างในการทำงานกับรัฐบาลไทยเป็นจำนวน 25 ปี
ซึ่งในขณะนั้นเองเป็นช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชนิยมในงานศิลปะอิตาเลียน จึงทำให้ผู้บังคับบัญชา ผู้ร่วมงานในกระทรวงโยธาธิการในขณะนั้นเป็นชาวอิตาเลียนเกือบทั้งหมด โดยฝีมือ และผลงานของเขาเป็นที่น่ายกย่องอย่างมาก
ตามัญโญ ยังได้รับ ความไว้วางพระทัย และพระเมตตา จากสมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระยา นริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งเป็นบิดาของวงการสถาปัตยกรรมของไทยและเป็นองค์เสนาบดี กระทรวงโยธาธิการ ตลอดระยะเวลา ยี่สิบห้าปี ในการรับราชการ ในราชสำนักสยาม ผลงาน การออกแบบของเขา มีมากมาย เริ่มจากชิ้นแรกคือ สะพานมัฆวานรังสรรค์ ต่อจากนั้น ก็ได้แก่ พระที่นั่งอัมพรสถาน และพระที่นั่งอภิเษกดุสิต ในพระราชวังดุสิต, วังบางขุนพรหม,ตำหนักปารุสกวัน และตำหนักจิตรลดา สะพานผ่านฟ้าลีลาศ, พระที่นั่งราชฤทธิ์รุ่งโรจน์ และก่อนจะสิ้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามัญโญ ได้เริ่มงาน โครงการขนาดใหญ่ สองชิ้น คือ พระที่นั่งอนันตสมาคม และพระราชวังพญาไท
พอมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ผลงานสถาปัตยกรรมของตามัญโญ ยิ่งหลากหลายมากขึ้น เขาออกแบบ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สถานีรถไฟหัวลำโพง ,สถานีรถไฟสวนจิตรลดา, สะพานขนาดเล็กในชุด "เจริญ" ที่สร้างขึ้น ในโอกาส วันเฉลิม พระชนมพรรษา ของรัชกาลที่ 6 หลายแห่ง, ที่ทำการ กระทรวงพาณิชย์, บ้านนรสิงห์ ของเจ้าพระยา รามราฆพ (ปัจจุบันคือ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล) ,บ้านบรรทมสินธุ์ ของเจ้าพระยา อนิรุทธเทวา (ปัจจุบันคือ บ้านพิษณุโลก) และ ห้องสมุด เนลสัน เฮย์ส
หลังจากสัญญาที่ทำไว้กับรัฐบาลสยามหมดอายุลง ในปี พ.ศ.2468 มาริโอ ตามานโญ ยังคงควบคุม การก่อสร้างที่ บ้านนรสิงห์ ต่อมาอีกระยะหนึ่ง แล้วจึงเดินทางกลับ ไปยังอิตาลี
เมื่อกลับมาถึงประเทศอิตาลี เมืองตูริน ในปี พ.ศ.2469 แตกต่างไปจากเมืองตูริน ที่ตามัญโญ เคยรู้จัก เป็นอย่างมาก และยิ่งห่างไกลจาก ราชสำนักสยาม ที่เขาเคยใช้ขีวิตอยู่ ถึงเสี้ยวหนึ่งของ ศตวรรษ อิตาลีในขณะนั้น อยู่ในระยะเริ่มต้นของ ระบอบฟาสซิสม์ มีการออกกฎหมายใหม่ ให้สถาปนิก ต้องเข้าเป็น สมาชิก ในองค์กรสถาปนิก ตามัญโญ จึงต้องรวบรวมเอกสาร ภาพถ่าย และแบบแปลน เพื่อจัดทำรายการผลงาน ยื่นแสดงเพื่อการนั้น
ตามัญโญยังคงประกอบอาชีพสถาปนิกต่อมา และยังคงท้าทายต่อ ระบอบทางการเมือง ที่เขาไม่พอใจ ดังมีหลักฐานว่า ในบรรดา สถาปนิกตูริน มีเขาเพียงคนเดียว ที่มิได้เป็นสมาชิก พรรคฟาสซิสต์ ทว่า เขาก็มิได้ มีชีวิตอยู่ยืนยาว พอที่จะเห็น ความล่มสลายของมัน ตามานโญ ถึงแก่กรรม ด้วยโรคมะเร็ง ในเดือนมกราคม ปี พ.ศ.2484

อาคารที่น่าสนใจที่ตามัญโญได้ออกแบบในเมืองไทยที่พอจะให้ประชาชนอย่างพวกเราเข้าไปศึกษาพื้นที่ภายในได้อย่างง่ายหน่อย ได้แก่

ห้องสมุดเนียลสัน เฮส์


เป็นห้องสมุดที่มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ก่อตั้งในสมัยหมดบรัดเลย์ หมดสมิธ ราวปี พ.ศ.2411 โดยภรรยาของหมอทั้งสอง ทำเป็นบาร์ซาร์เพื่อหาเงินมาซื้อหนังสือเพิ่มเติมแล้วแลกกันอ่าน และตั้งเป็น "The Bangkok Ladies Library Association" โดยไม่หวังผลกำไรจากนั้นห้องสมุดก็ร่อนเร่ไปอาศัยสถานที่ต่างๆ อยู่ระยะหนึ่งต่อมามีแหม่มชาวเดนมาร์ก ชื่อ Jennie Neilson Hays มาเป็นกรรมการอยู่ 25 ปี จนเสียชีวิต
พ.ศ.2464 สามีเธอ คือ หมอ T.Heyward Hays จึ่งได้สร้างตึกหลังนี้ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ภรรยา ตึกห้องสมุดเนลสัน เฮย์ หลังนี้ เป็นตึกชั้นเดียวที่มีทรงสถาปัตยกรรมแบบยุโรปโบราณ ประกอบด้วยหลังคาโค้งทรงกลม หัวต้นทุกต้นสลักลวดลายสวยงาม ข้างในห้องสมุดยังมีห้องแสดงงานศิลปะ “โรทันดาแกลลอรี่” มีผลงานที่ได้การคัดสรรค์เป็นอย่างดีมาจัดแสดงอยู่ตลอดปี บางครั้งก็มีศิลปินหรือนักเขียนมานั่งคุยด้วยกันอย่างเป็นกันเองอีกด้วย













สถานีรถไฟจิตรลดา

สถานีรถไฟจิตรลดา หรือ สถานีรถไฟหลวงสวนจิตรลดา เป็นสถานีที่สร้างขึ้น สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ เมื่อมีการเสด็จฯ ทางรถไฟ อีกทั้งได้เคยใช้เป็นสถานที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะในบางโอกาส ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ถนนสวรรคโลก แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของทางรถไฟ โดยอาคารหลังปัจจุบันนี้ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2464 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อทดแทนอาคารหลังเดิมที่เป็นอาคารไม้ สร้างมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
สถานีนี้ก่อสร้างเป็นอาคารคอนกรีตชั้นเดียว สไตล์ยุโรป Italian Renaissance ตัวอาคารมีพื้นที่ 760 ตารางเมตร เสาอาคารมีลักษณะเป็นเสาคู่ ประดับครุฑพ่าห์ที่มุมทั้งสี่ของเพดาน ใช้สำหรับเป็นสถานีเมื่อมีการเสด็จฯ ทางรถไฟ เคยใช้เป็นสถานที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะด้วย เช่น สมเด็จพระนโรดมสีหนุ แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา, สมเด็จพระเจ้าเฟรดดริคที่ 9 แห่งราชอาณาจักรเดนมาร์ก และรวมทั้งยังมี ประธานาธิบดีซูการ์โน แห่งประเทศอินโดนีเซีย













สถานีรถไฟหัวลำโพง

เริ่มต้นสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2453 ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ใช้ระยะเวลาก่อสร้างกว่า 7 ปี จนแล้วเสร็จ และเปิดใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2459 ในสมัยรัชกาลที่ 6 นับเป็นชุมทางคมนาคมขนาดใหญ่ หรูหรา และทันสมัยมากในยุคนั้น มีโรงแรมราชธานีอยู่ภายในสถานี ไว้คอยบริการสำหรับนักเดินทางไกลพร้อมสรรพ...
สถานีรถไฟหัวลำโพง ออกแบบโดย นายมาริโอ ตามัญโญ สถาปนิกชาวอิตาเลียน ซึ่งเข้ามารับราชการอยู่ที่กระทรวงโยธาธิการ ในราชสำนักสยาม และมีผลงาน "ศิลปะสถาปัตย์" ที่สำคัญมากมาย คงไว้เป็น "มรดกอารยะ" คู่ประเทศไทย...รูปแบบของสถานี ได้รับอิทธิพลมาจากสถานีรถไฟเมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี (Frankfurt Germany) วัสดุสำเร็จรูปที่ใช้ในการก่อสร้าง ก็สั่งนำเข้ามาจากประเทศเยอรมนี เช่นกัน






ตัวอาคารเป็นลักษณะทรงโดมสไตล์อิตาเลียน ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิค (Classicism) ที่เลียนแบบมาจากสถาปัตยกรรมโบราณของกรีก-โรมัน ตกแต่งด้วยลวดลายเหล็กดัด ปูนปั้น แบบศิลปะในยุคเรอเนสซองส์ (Renaissance) ไว้อย่างวิจิตร สวยงาม...
โดดเด่นด้วยกระจกสี ที่ประดับบนหลังคาโค้งขนาดใหญ่ เป็นช่องระบายอากาศทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดตั้งไว้กลางโดม เป็นสัญลักษณ์ของสถานีรถไฟหัวลำโพง ที่ยังคงสาดแสงสะท้อน บอกเวลานักเดินทางมาจนถึงวันนี้...หากย้อนเวลาที่เริ่มต้นก่อสร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2453 ในปีหน้า พ.ศ. 2553 สถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่าแห่งนี้ ก็จะถึงวาระฉลองครบ 100 ปี











บทสัมภาษณ์คุณคมสัน สิงห์ศันสนีย์ศิริ



วันนี้ผม (นายวรัญญู ดาราย) ก็ได้มีโอกาสรบกวนสัมภาษณ์สถาปนิกซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่เรียนจบลาดกระบัง ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำงานมาพอสมควร และตอนนี้ก็ได้เปิดบริษัทส่วนตัวขึ้นมาชื่อ In-House Architecture และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานพอสมควร ซึ่งพี่คนนี้ก็คือพี่เก่งหรือคุณคมสัน สิงห์ศันสนีย์ศิริ ซึ่งมีบทสัมภาษณ์ต่างๆดังนี้

คำถาม : พี่เก่งช่วยบอกประวัติส่วนตัวนิดนึงครับ

พี่เก่ง : ชื่อ คมสัน สิงห์ศันสนีย์ศิริ เข้าเรียนที่ลาดกระบังปี 34 รหัส 34201008 ชื่อคณะ โรโบกามอท ตอนปี 5 ทำวิยานิพนธ์เรื่อง อาศรมปัญญา โดยมีอาจารย์จิ๋วเป็นที่ปรึกษา โดยตอนจบได้เกรดเฉลี่ย 2.75

คำถาม : พี่เก่งมีแรงจูงใจอะไรในการเลือกเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

พี่เก่ง : วาดรูปเก่งมาตั้งแต่เด็ก ก็มาเจอคณะที่คงได้ใช้ความสามารถด้านนี้ แถมได้เรียนรู้อะไรอีกหลายหลาย ที่สำคัญ มันเท่ห์

คำถาม : ถ้าย้อนเวลากลับไปได้พี่เก่งจะยังเลือกเรียนคณะสถาปัตยกรรมหรือไม่

พี่เก่ง : เรียน

คำถาม : เข้าเรียนปีไหน รหัสอะไร เรียนจบปี และได้ไปศึกษาที่ไหนต่อรึป่าวครับ

พี่เก่ง : เข้าปี 34 จบ 39 ไม่ต่อโท ทำงานดีกว่า

คำถาม : สถาปนิกในดวงใจของพี่เก่งคือ และมีสาเหตุอะไรที่ชื่นชอบ

พี่เก่ง : FRANK LLOYD WRIGHT , คุณนิธิ สถาปิตานนท์ชอบ design

คำถาม : พี่เก่งมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนการสอนวิชาสถาปัตยกรรมในบ้านเราอย่างไรบ้าง

พี่เก่ง : เน้นผลิตจำนวน เหมือนเป็นค่านิยมทุกสถาบันการศึกษา ว่าต้องมีคณะนี้ อยากให้มองผลผลิตหลังจากส่งออกมาจากสถาบันแล้ว
แต่จุดแข็งของเด็กใหม่คือสามารถใช้วิธีนำเสนอผลงานได้ตามสมัย (รุ่นเก่าๆ ไม่กล้า
)

คำถาม : การทำงานจริงกับการเรียนแตกต่างกันอย่างไร

พี่เก่ง : เจอของจริง ไม่หยวนๆ เหมือนอาจารย์

คำถาม : พี่เก่งเคยมีประสบการณ์การทำงานที่ไหนมาบ้าง และลักษณะงานการปฏิบัติวิชาชีพทำอะไร

พี่เก่ง : จบมาก็ อยู่ A49 เพราะอยากรู้ว่าสถาปนิกจริงๆทำงานกันยังไง
ฟองสบู่แตก ก็มาเป็นสถาปนิกให้หน่วยงานราชการ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบออกแบบอาคารพิเศษของโรงเรียนมัธยมทั่วประเทศ เพื่อจะได้ประกอบวิชาชีพนี้ต่อ(เอกชนไม่มีงาน)
หลังจากนั้นเศรษฐกิจดีก็ลาออกจากราชการมาเป็นสถาปนิกโครงการให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่นี่ได้เห็นการพัฒนาโครงการประเภทต่างๆ เช่น โรงแรม คอนโดมีเนียม ห้างสรรพสินค้า งานจัดสรรโครงการ
หลังจากนั้นก็กลับไปเป็นสถาปนิกผู้ออกแบบให้กับบริษัทออกแบบ เพื่อออกแบบโครงการคอนโดมีเนียมขนาดใหญ่พิเศษ บ้านพักอาศัยขนาดใหญ่


คำถาม : ผลงานต่างๆและผลงานที่ภาคภูมิใจที่สุดของพี่เก่ง

พี่เก่ง : ได้ไปอยู่ในองค์กรหลายหลายรูปแบบและได้เป็นผู้ออกแบบเริ่มต้นโครงการ อาคารขนาดใหญ่พิเศษ หลายโครงการ แต่โครงการที่ชอบที่สุด คือ คอนโด Ideo โดยเป็นคนวาง Lay-Out Plan ของโครงการ

คำถาม : ตอนนี้กำลังทำโครงการอะไรอยู่

พี่เก่ง : เปิดบริษัทสถาปนิกส่วนตัวโดยชื่อของบริษัท คือ In-House Architecture ทำงานออกแบบ บ้านพักอาศัย โครงการจัดสรร คอนโดมีเนียม โรงงาน สำนักงาน

คำถาม : ตัวอย่างที่ดีในการปฏิบัติวิชาชีพเป็นอย่างไร


คำถาม : ข้อคิดสำคัญในการทำงานคืออะไร

คำถาม : การปฏิบัติตนต่อการทำงานเป็นอย่างไร

พี่เก่ง : ขอตอบรวบยอดสามคำถามข้างบนทีเดียวเลยละกัน มีหัวใจบริการ หวังดี คิดดี กับลูกค้าและผู้ใช้สอยโครงการที่เราออกแบบ พยายามสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน บริหารจัดการเวลาให้ดีและหาเวลาพักผ่อน อย่างสม่ำเสมอ

คำถาม : อุปสรรคในการประกอบวิชาชีพมีอะไรบ้าง

พี่เก่ง : ปัญหาบทบาทของสถาปนิกในสังคมไทย
คนไทยทั่วๆไป ไม่รู้ว่าสถาปนิกมีไว้ทำไม ต่างจากวิศวกร หรือช่างเขียนแบบตรงไหน ทำให้โดนสวมรอย
และการปลอมใบประกอบวิชาชีพของพวกมิจฉาชีพ


คำถาม : มุมมองวงการสถาปนิกและงานสถาปัตยกรรมของไทยและต่างประเทศแตกต่างกันอย่างไร

พี่เก่ง : จำนวนผู้ลงทุนชาวต่างชาติที่มีความสุนทรี มีมากกว่าคนไทย เค้าเลยได้เมืองสวย

คำถาม : สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันมีผลต่อการงานอย่างไรบ้าง

พี่เก่ง : ช่วงที่ผ่านมาผู้ลงทุนชะลอการลงทุน ในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ แต่สำหรับบ้านพักอาศัยส่วนบุคคลยังดำเนินการต่อ เลยทำให้ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก

คำถาม : โอกาสที่บริษัทของพี่จะก้าวไปสู่การทำงานต่างประเทศมีหรือไม่ อย่างไร

พี่เก่ง : อาจเป็นแค่การออกแบบให้ชาวต่างประเทศที่มาลงทุนในประเทศไทย เพราะจุดแข็งคือเราเชียวชาญกฎหมายก่อสร้างเมืองไทยมากกว่า

คำถาม : คำถามสุดท้าย คำถามยอดฮิตพี่เก่งคิดว่างานสถาปัตยกรรมเปรียบเสมือนอะไร

พี่เก่ง : ยอดฮิต แต่ตอบยากชิบเป๋ง

และสุดท้ายนี้ขอให้พี่เก่งประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมีงานเข้ามาตลอดเวลา
บริษัทเจริญเติบโตเป็นแนวหน้าของประเทศ
ขอขอบคุณที่สละเวลามาช่วยตอบบทสัมภาษณ์นี้และขอโทษที่รบกวนเวลาของพี่เก่งด้วยครับ
เจริญพร

นี้ก็เป็นบทสัมภาษณ์ที่ได้ถามถึงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆและแนวทางในการประกอบวิชาชีพซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการออกไปประกอบวิชาชีพ จึงขอขอบคุณพี่เก่ง หรือ คุณคมสัน สิงห์ศันสนีย์ศิริ รุ่นพี่ลาดกระบังของเราที่ช่วยสละเวลาอันมีค่ามาตอบคำถามต่างๆ และขอขอบคุณทุกท่านที่ได้บทสัมภาษณ์นี้ซึ่งคิดว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยในการประกอบวิชาชีพทางสถาปัตยกรรมขอขอบคุณครับ
และนี้ก็คือผลงานบางส่วนของพี่เก่งครับ































วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

9 Days 8 Night ที่สุดของการเดินทาง...........!!?

วันที่ 4 กรกฎาคม 2552
วันนี้เป็นวันแรกของการออกเดินทางไกลในการไปทิปอาจารย์จิ๋ว ซึ่งมีการนัดกันไว้ตอน 6 โมงเช้าของวันนี้แต่การเดินทางจริงๆนั้นได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 8.30 เนื่องจากความล้าช้าของตัวพวกเราเอง พอขึ้นรถนั้นแทบจะทุกคนนั้นหลับเกือบทั้งหมดไม่ค่อยจะมีการพูดคุยกัน ไม่มีการเล่นอะไรต่างๆที่เฮฮาผิดกับที่คิดไว้ ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น จะตื่นมาเป็นทุกระยะๆในเวลาที่รถหยุดพักแวะเข้าปั๊ม ตัวผมนั้นได้อยู่บนรถที่พี่แป๊ะเป็นคนขับ หรืออาจจะเรียกว่า “ยานแม่” ก็ได้เพราะเป็นคันที่นำขบวนรถทุกคันเป็นแม่ทัพของการเดินทางครั้งนี้ (แถมขับรถเร็วและแรงอีกต่างหาก)
ทิปนี้เริ่มขึ้นที่จังหวัดสระบุรีเป็นจังหวัดที่ตัวผมคิดว่าไม่ค่อยมีอะไร และก็ไม่คิดว่าจะแวะที่จังหวัดนี้เป็นจังหวัดแรกด้วย ที่สระบุรีนั้นพวกเราได้มาที่ “บ้านเขาแก้ว” ซึ่งดูจากข้างนอกนั้นก็เป็นเหมือนของชาวบ้านทั่วๆไปนั้นแหละครับ แต่พอได้เดินเข้าไปแล้วเกิดประทับใจกับศาลาทางเข้าครับเพราะผมว่ามันดูน่ารักดี มีบรรยากาศที่ดีตั้งอยู่บนลำน้ำเล็กๆ ข้างๆเป็นเหมือนสวนเล็กๆ มีต้นไม้นานาชนิดมากมายเป็นส่วนที่ช่วยสงเสริมทางเข้าได้อย่างดี มันเป็นพื้นที่เล็กๆที่มีบรรยากาศแบบบ้านๆไม่เลิศหรูแต่ดูมีเสน่ห์ที่เจ้าของบ้านจัดเตรียมให้แขกบ้านแขกเรือนที่มาเยือนมาเพื่อรอเจ้าของบ้านมาต้อนรับ
พอเข้ามาถึงบริเวณลานบ้านเจ้าของบ้านซึ่งเป็นคนรู้จักอาจารย์จิ๋วก็มาต้อนรับและอธิบายให้ความรู้ ข้อมูลต่างๆมากมาย ซึ่งตัวผมเองเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสาของคนที่ไม่ค่อยรู้อะไรเลย มองจากบริเวณลานบ้านเข้าไปเราจะเห็นบ้านเรือนไทยที่ดูมีอายุมาก ดูเก่าแก่ นอกจากเรือนไทยที่อยู่บริเวณลานหน้าบ้าน รอบๆบริเวณนี้จะมีอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับวิถีของชาวบ้านให้ดู เหมือนเป็นส่วนให้ความรู้กับวิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน แล้วทางด้านหลังยังมีส่วนที่มีเรือนต่างๆที่มีของอนุรักษ์มากมายไม่ว่าจะเป็น เครื่องปั้นต่างๆ อุปกรณ์ต่างๆ หรือจะะเป็นเครื่องดนตรีอีกด้วย ซึ่งเรือนต่างๆเหล่านี้จะตั้งอยู่บนสระน้ำทำให้บรรยากาศของส่วนนี้เย็นมากมีหมู่แมกไม้นานาพันธุ์ล้อมรอบ ไม่คิดว่าจะมีส่วนอย่างนี้อยู่ในบ้านตอนแรกนึกว่ามีแค่เรือนไทยอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้ตัวผมเกิดความประทับใจกับ “บ้านเขาแก้ว” มากๆผมรู้สึกว่าบ้านหลังนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทุกสรรพสิ่งที่มนุษย์ต้องการนั้นก็คือปัจจัย 4 เป็นบ้านที่กลมกลืนพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ แสดงวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างแท้จริงว่ามนุษย์ต้องการอะไรบ้าง อยู่กับธรรมชาติจริงๆ โดยปราศจากความเลิศหรูต่างๆ ที่ไม่จำเป็นในการดำเนินชีวิต
ประมาณตอนเที่ยงเพวกเราก็ได้ออกมาจาก“บ้านเขาแก้ว”เพื่อออกมากินข้าวเราได้เดินข้ามมาอีกฝั่งของ “บ้านเขาแก้ว” พวกเราก็มาถึง “พิพิธภัณฑ์เรือลุ่มน้ำป่าสัก” นอกจากเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วที่นี้ยังเป็น “หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน สระบุรี” อีกด้วยเป็นศุนย์ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาวไทยวนและให้ความรู้เกี่ยวกับเรือประเภทต่างๆ เราได้มากินข้าวมื้อเที่ยงที่นี้ โดยมีเรือนไทยเป็นเรือนรับแขก มีพื้นที่ใต้ถุนเป็นพื้นที่ใช้ทำกิจกรรมต่างๆ พอมองจากด้านบนลงไปด้านล่างเราจะเห็น เรือนที่ลอยอยู่บนแม่น้ำป่าสัก พอผมเห็นตรงนั้นผมก็ตัดสินใจว่าจะลงไปกินข้าวที่นั้นเพราะที่ตรงนั้นเป็นที่ๆมีบรรยากาศดีที่สุดสำหรับผม
พอลองลงไปแล้วมองขึ้นไปเห็นเรือนไทยที่เป็นเรือนรับแขกจะมีความใหญ่มากมีความรมรื่นจากต้นไม้ใหญ่ต่างๆทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีอย่างบอกไม่ถูก สำหรับผมแล้วสถานที่แห่งนี้อารมณ์เหมือนสถานที่พักผ่อนมากกว่าพิพิธภัณฑ์ซะอีก พอกินข้าวเสร็จก็จะมีการแสดงจากน้องที่มาเรียนรู้วัฒนธรรมประจำถิ่นทุกๆวันเสาร์-อาทิตย์ ผมว่าเป็นเรื่องดีที่มีการเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆเพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้สูญหายไปเพราะปัจจุบันวัฒนธรรมพื้นถิ่นต่างๆกำลังเลือนหายไปกับความเจริญที่ก้าวหน้าไปทุกๆวัน ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยากเห็นวัฒนธรรมสูญหายไปอยากเห็น วัฒนธรรมเประจำชาติ-ถิ่นจริญขึ้นไปเคียงคู่กับความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสามารถประยุกต์ใช้


ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม จึงขอขอบคุณอาจารย์ทุกๆท่านที่พามาที่แห่งนี้และน้องนักแสดงทุกคนที่แสดงถึง
วัฒนธรรมประจำถิ่นให้ได้ชม
หลังมื้อเที่ยงเราก็ได้ออกเดินทางไปยังจังหวัดกำแพงเพชรซึ่งใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะถึงจังหวัดกำแพงเพชรเราถึงกำแพงเพชรประมาณเวลา 6 โมงเย็นโดยจุดมุ่งหมายที่มากำแพงเพชรนี้คือมาที่เมืองเก่าพอมาถึงที่นี้อาจารย์จิ๋วก็ได้อธิบายเกี่ยวกับความเป็นมารวมถึงงานสถาปัตยกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องแล้วพวกเราก็ได้เดินถ่ายรูปต่างๆจนแสงพระอาทิตย์ในวันนี้หมด วันแรกของการมาทิปก็หมดตามแต่การเดินทางนั้นยังไม่ได้จบเพราะจุดมุ่งหมายต่อไปคือจังหวัดลำปาง พวกเราจึงเดินทางไปจังหวัดลำปางในเย็นวันนั้นและถึงที่พักประมาณตอนตี 1 พอถึงที่พักผมคิดว่าทิปนี้นี้มันช่างหนักซะจริงๆ
วันที่ 5 กรกฎาคม 2552
เวลาประมาณเกือบ 9.00 น. พวกเราได้เริ่มเดินทางออกจากที่พักที่อยู่ในจังหวัดลำปาง ที่แรกที่เราไปคือ วัดไหล่หินหลวง ตั้งอยู่ที่ ต.ไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง พอถึงที่วัดไหล่หินหลวงฝนก็ตกพอดีซึ่งโชคไม่ดีนักกับการถ่ายภาพ พวกเราได้นั่งฟังการบรรยายของอาจารย์จิ๋วสักพักโดยส่วนตัวนั้นผมไม่ค่อยรู้เรื่องนักเกี่ยวกับการฟังบรรยายพอจะรู้เรื่องนิดๆหน่อยๆ แต่ก็พอจะจับประเด็นอะไรได้ตามความมั่วของตัวเอง พอเราฟังสักพักก็ได้เดินถ่ายรูปสิ่งที่สำคัญจากการฟังการบรรยายและสิ่งเราสนใจแต่การถ่ายภาพก็ยากลำบากเพราะฝนที่ตกลงมาต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งที่ผมได้จากการมาวัดไหล่หินหลวงครั้งนี้ ผมได้ความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ว่างที่ดูจากภายนอกเหมือนจะมีขนาดต่ำเกินไปแต่พอเข้าไปข้างในนั้นเป็นพื้นที่ว่างที่มีขนาดพอเหมาะกับการใช้งานไม่ได้ต่ำเกินไปเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก นอกจากนี้ยังมีการใช้พื้นที่ว่างในการชื้อชวนเข้าไปใช้งาน พื้นที่ที่อยู่ข้างในอีกด้วย และถ้าสังเกตดีๆวัดไหล่หินนี้จะไม่มีหลักในการสมมาตร แต่ดูแล้วจะไม่หนักข้างใดข้างหนึ่งจะรู้สึกมีความพอดี นอกจากพื้นที่ว่างที่น่าสนใจแล้วด้านตัวสถาปัตยกรรมยังมีความสวยงามสิ่งที่ตัวผมประทับใจคือการซ้อนชั้นหลังคาสามชั้นและรายละเอียดการแกะสลักลวดลายของตัวสถาปัตยกรรมและการคิดspace ต่างๆทำให้ผมทึ่งในความสามารถของคนสมัยก่อน ผมไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าวัดไหล่หินจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นยังไงแต่สำหรับผมคืออยากให้เป็นเหมือนอย่างนี้ตอนที่ผมได้ไปดูอยู่ ถ้าหากมีการซ่อมแซมหรือบูรณะก็ไม่อยากให้ใหม่เกินเพราะอาจทำให้หลักฐานประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้ อยากให้มีคนที่เข้าใจงานสถาปัตยกรรมของไทยอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเพราะตอนนี้ผมคิดว่าคนที่เข้าใจงานไทยนั้นมีน้อยลง รวมทั้งตัวผมเองด้วย จึงอยากให้ทุกคนช่วยอนุรักษ์งานสถาปัตยกรรมไทยให้ชนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้ดูได้ศึกษาไม่ใช้ปล่อยให้หายไปตามกาลเวลาเดี๋ยวจะกลายเป็นสิ่งที่เคยมีอยู่ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ ให้รู้ว่างานของไทยก็เยี่ยมไม่แพ้หรืออาจจะดีกว่างานของต่างประเทศที่พวกเราคลั่งไคล้ก็ได้
ที่ที่สองของวันนี้ที่พวกเราได้ไปคือพระธาตุลำปางหลวงซึ่งที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดังมากของจังหวัดลำปาง ในตอนที่เราไปนั้นได้มีการบูรณะซ่อมแซมอยู่ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นของเดิมๆ วัดนี้มีขนาดใหญ่กว่าวัดไหล่หินหลวงมากกระทั่งสิงห์ที่อยู่ทางเข้าก็ยังมีขนาดใหญ่กว่าเนื่องจากเป็นสถานที่ดังของจังหวัดเลยมีคนมาเที่ยวชมอย่างมากผิดกับสถานที่แรกซึ่งแทบจะไม่มีคนเลยนอกจากพวกเรา มันทำให้ผมเอะใจอะไรบางอย่างว่าทำไมเราถึงไม่ให้ความสำคัญเท่าๆกัน ในเมื่อต่างมีจุดเด่นของแต่ละที่ไม่เหมือนกัน การเข้าไปต่างสถานที่ก็จะได้ความรู้ต่างกัน ทำไมเค้าถึงไม่ให้ความสำคัญ ทำไม ทำไม ทำไม หนอ? หรือว่าผมจะเป็นคนโง่ที่คิดอยากให้มีการให้ความสำคัญเท่าๆกัน
ที่นี้ผมได้ความรู้เพิ่มมาอีกเรื่องคือเรื่อง positive กับ negative space ซึ่งก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก ผมคิดในใจว่าคนสมัยก่อนนั้นเค้าคิดถึงขนาดนี้เลยหรอ มันช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ขนาดคิดมุมมองขนาดเรายืนกับมุมมองขนาดเรานั่งยังไม่เหมือนกันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ความยิ่งใหญ่ของงานต่างๆมันช่างน่าเลื่อมใสจริงๆ แล้วทำให้คิดว่าคนเดี๋ยวนี้เค้าคิดได้ยังนี้ไหมน่ามันช่างน่าสงสัยจริงๆ
ผมได้ไปถ่ายภาพวิหารที่อยู่ใกล้ๆซึ่งมีรูปแบบที่เหมือนกันแตกต่างกันเพียงอันหนึ่งบูรณะทั้งหลังแล้วกับอีกอันที่ยังเหมือนเดิมความแตกต่างเห็นอย่างได้ชัดเจนจากวัสดุที่ใช้ในงานความมีเสน่ห์ตามกาลเวลาขาดหายไปอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงได้ถ่ายภาพวิหารที่มีสภาพเดิมมากเป็นพิเศษกลัวว่าวันใดวันหนึ่งถ้าเรากลับมาแล้วจะไม่มีของสภาพยังนี้ให้เราได้ดูจะทำให้รู้สึกเสียดาย ผมว่าการบูรณะซ่อมแซมมันก็ดีกับการใช้งานแต่ก็ไม่ควรทำให้ใหม่หมดเพราะมันจะใหม่เกินทำให้เราไม่เห็นสิ่งที่เราโหยหาในอดีต บูรณะส่วนที่จำเป็นจริงๆน่าจะดีกว่า

ต่อจากพระธาตุลำปางหลวงเราได้เดินทางมายังวัดปงยางคก ในวัดปงยางคกมีวิหารพระแม่เจ้าจามเทวีที่มีความดั้งเดิมเหลืออยู่ รอบๆวิหารแต่ก่อนน่าจะเป็นลานทรายซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่ๆคนในชุมชนมาทำกิจกรรมร่วมกันในวันสำคัญทางศาสนา แต่ตอนนี้กลายเป็นลานหินกรวด ภายในวิหารมีการเขียนลวดลายที่สวยงามแทบจะทุกส่วนของโครงสร้างวิหารทำให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น
หลังจากไปดูทั้ง 3 ที่ผมก็คิดว่าถ้าไม่มีการบูรณะซ่อมแซมก็จะเสียหายไปเรื่อยๆแต่ถ้าบูรณะแล้วจะไม่เหมือนเดิมในฐานะที่เป็นนักศึกษาสถาปัตยกรรมจึงคิดว่าเราควรจะทำการบูรณะให้มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ให้น้ำหนักอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป นอกจากนี้ยังคำนึงถึงความสามารถในการใช้งานได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย
วันที่ 6 กรกฎาคม 2552
วันนี้เราได้เดินทางไปยังชุมชนๆหนึ่งซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนจริงๆของลำปางผมได้เดินถ่ายภาพไปเรื่อยๆไปดูความเป็นไปของชุมชน ลักษณะของตัวบ้านซึ่งบ้านส่วนใหญ่จะมีการยกใต้ถุนสูง พื้นที่บริเวณใต้ถุนใช้นั่งทำกิจกรรมต่างๆ มีการวางตัวยุ้งข้าวไว้เป็นอีกเรือนหนึ่ง การวางตัวบ้านกลมกลืนไปกับต้นไม้นานาชนิดตั้งแต่ทางเข้าบ้าน มีพืชพันธุ์นานาชนิดมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ปลูกเพื่อกินเอง นำไปขาย และแบ่งปันให้กับบ้านใกล้เรือนเคียง เป็นสังคมที่มีการพึ่งพาอาศัยกันเป็นสังคมเกษตรกรรมซึ่งหาได้ยากมากในชุมชนเมืองที่มีการแข่งขันตลอดเวลา แต่คนอาศัยอยู่ที่นี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กและคนแก่ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นทำให้คิดว่าคนเดี๋ยวนี้หันหลังให้กับงานเกษตรแล้วหันไปหางานในเมืองทำแทนมันอาจจะเกิดเพราะความเปลี่ยนแปลงเจริญก้าวหน้าตลอดเวลาทำให้คนอยากได้อยากมี ซึ่งการทำการเกษตรผลตอบแทนได้ช้าไม่เหมือนการทำงานในเมืองที่ได้รวดเร็วจึงทำให้คนละถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อไปแสวงหาสิ่งต่างๆในเมืองลืมตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ทิ้งคนแก่และเด็กไว้ทำให้ความเป็นครอบครัวสมัยก่อนค่อยๆจางหายไปโดยไม่รู้ตัว….
พอเดินไปเรื่อยๆก็ได้ไปเจอกับนาขั้นบันไดที่มีความอุดมสมบูรณ์เขียวขจี ชาวนากำลังทำนา เก็บผลผลิตที่ตัวเองทำขึ้นมา ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจ ทำให้นึกว่าประเทศของเรานี้ก้อยังมีพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์อยู่เยอะเหมือนกัน จึงไม่อยากให้มีการทำลายทรัพยากรไปมากกว่านี้อยากให้มีพื้นที่สีเขียวอย่างนี้เพิ่มขึ้นมาอีกในประเทศของเราเรื่อยๆ
ช่วงบ่ายของวันพวกเราก็ได้ไปชุมขนเก่าแห่งหนึ่งผมได้ไปกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 20 บาท ถูกมากครับกับสิ่งที่เค้าให้มาถ้ามากินในเมืองอย่างต่ำผมว่าชามละ 50 ครับผมรู้อย่างหนึ่งเลยว่าคนต่างจังหวัดใจดีมากครับ ต้อนรับดีเป็นกันเอง สังคมเค้าพึ่งพาซึ่งกันและกันทุกคนรู้จักกันหมด ผมอยากให้สังคมเมืองที่เราอยู่เป็นอย่างนี้บ้างครับ พอกินเสร็จผมก็ได้เดินดูบ้านบริเวณรอบๆ บ้านสวนใหญ่เป็นบ้านที่สร้างมานานมีความสวยงามตามกาลเวลา หลังจากดูบริเวณรอบๆเสร็จก็ได้เดินลุยไปในนาสนุกดี ครับรู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติแต่รู้สึกผิดที่ไปเหยียบนาของชาวบ้าน ขากลับได้ผ่านบ้านหลังหนึ่งที่มีส่วนของหน้าบ้านเป็นนาที่เขียวขจีสวยครับสวยมากเป็น landscape แบบชาวบ้านๆที่มีความสวยงามแบบที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของเจ้าของบ้านครับ
ผมดีใจครับที่ประเทศของเรายังมีของยังนี้อยู่ดีใจที่ได้เดินทางออกมาดูให้เห็นกับตาเป็นการเปิดโลกให้กับตัวเองอย่างมาก อยากให้ทุกคนช่วยกันรักษาความอุดมสมบูรณ์ที่เหลืออยู่ให้คงอยู่ต่อไป
วันที่ 7 กรกฎาคม 2552
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ได้อยู่ที่จังหวัดลำปางเราเดินทางออกจากที่พักมาวัดสุชาดารามเป็นที่แรก ซึ่งในวัดนี้มีวิหารที่มีงานสถาปัตยกรรมแบบพม่า ซึ่งวิหารแบบพม่านั้นจะมีลวดลายเยอะมากเยอะกว่าวิหารแบบไทยนอกจากนี้ยังประดับไปด้วยคิวปิดซึ่งเป็นเทพแห่งความรักตามความเชื่อของชาวตะวันตกอีกด้วย งานสถาปัตยกรรมจึงออกแนวตะวันตก มีการใช้กระจกในการประประดาส่วนต่างๆของตัวงานสถาปัตยกรรม
เสร็จจากวัดสุชาดารามแล้วเราก็ดินทางไปดูงานสถาปัตยกรรมแบบพม่าที่วัดอีกวัดหนึ่งนั้นคือวัดปงยางสนุก มีวิหารที่มีงานสถาปัตยกรรมแบบพม่าซึ่งวิหารนี้มีโครงสร้างที่ซับซ้อนอย่างมากมายแต่ลวดลายของวิหารที่วัดปงยางสนุกไม่สวยงามเท่ากับที่วัดสุชาดาราม ลวดลายของวิหารวัดปงยางสนุกทำมาจากปูนปั้น
สุดท้ายเราได้ไปยังวัดศรีรองเมืองซึ่งเป็นวัดแบบพม่าด้านหลังของวัดติดแม่น้ำวัง วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี
พ.ศ. 2448 ซึ่งถือเป็นวัดที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัดลำปางโดยตัววิหารสร้างด้วยไม้สัก หลังคาซ้อนเป็นซุ้มเรือนยอดและเป็นกลุ่มของชั้นหลังคา มีลายฉลุบนสังกะสี ใช้ประดับบนจั่วและเชิงชายเพิ่มความอ่อนช้อยและสง่างามให้กับตัววิหาร ภายในตัววิหารมีเสาไม้ตกแต่งด้วยศิลปะการปั้นรักเป็นลวดลายเครือดอกไม้ พันธุ์พฤกษา แล้วประดับด้วยกระจกหลากสี โดยเฉพาะเสาด้านหน้าพระประธานจะปั้นรักเป็นรูปเทพารักษ์ คน ยักษ์ วานร และสัตว์ป่า เหมือนในป่าหิมพานต์ ส่วนเพดานวิหารประดับด้วยกรอบลายเป็นช่องๆเต็มเพดานโดยปั้นเป็นเส้นรักและประดับด้วยกระจกสีเป็นลวดลายพันธุ์พฤกษา รูปสัตว์และรูปปั้นเทพารักษ์ คนที่เข้ามาใช้งานในวิหารหลังนี้จึงเหมือนอยู่บนสวรรค์ จากการตกแต่งด้วยวัสดุ และลวดลายต่างๆที่ทำให้คนจินตนาการถึงสรวงสวรรค์
นอกจากนั้นยังมีห้องน้ำแบบพม่าอยู่ภายนอกตัววิหารแต่เป็นห้องน้ำที่ไม่ได้ใช้แล้ว มีความสวยงามแปลกตามากไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นห้องน้ำ
พอเราดูวัดทั้งหมด 3 วัดแล้วเราก็ได้ออกเดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นจุดหมายต่อไปของพวกเราขณะเราเดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่เราก็ได้แวะที่จังหวัดลำพูนเพื่อไปถ่ายรูปบ้านโบราณซึ่งสร้างตั้งแต่ปี 2482 มีความสวยงามด้านพื้นที่ใช้สอยมีการยกใต้ถุนอาคารเพื่อเป็นที่ทำงานนั่งเล่นพื้นที่ใช้สอยของบ้านหลังนี้เป็นไปอย่างลงตัว ถ้าเราลองนำแนวความคิดของการออกแบบพื้นที่ใช้สอย space ต่างๆของบ้านแบบไทยไปประยุกต์ใช้กับงานออกแบบในปัจจุบัน ผมคิดว่าน่าจะได้งานที่มีคุณภาพออกมาเพราะผมคิดว่าแนวคิดในการออกแบบบ้านของคนสมัยก่อนค่อนข้างตรงไปตรงมาไม่เยินเย่อ ใช้พื้นที่ใช้สอยไม่เปลือง แถมมีความสลับซับซ้อน ของการเชื่อมต่อของ space แต่ละที่อีกด้วยมันจึงทำให้งานดูมีเสน่ห์อีกด้วย
วันที่ 8 กรกฎาคม 2552
เป็นวันแรกที่อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่สถานที่แรกที่ไปถึงคือ วัดพันเตา ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในวัดพันเตาแห่งนี้มีวิหารไม้ที่มีขนาดใหญ่โดยโครงสร้างเป็นไม้ทั้งหมด นอกจากนี้บริเวณด้านข้างของวิหารยังมีศาลาที่ใช้ภูมิปัญญาพื้นถิ่นในการวาง span เสา การผูกไม้ การทำหลังคาจากวัสดุพื้นถิ่น ถัดมาจากบริเวณวัดพันเตามีโรงแรมๆหนึ่งซึ่งได้ใช้แนวคิดของบ้านพื้นถิ่นมาใช้ในการออกแบบ ชื่อโรงแรมนี้คือโรงแรม U Chiang Mai ทำให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็น Boutique Hotel มีการบริการระดับ 5 ดาว ในส่วนตัวผมคิดว่าโรงแรมแห่งนี้มีสไตล์ความเป็น modern ผสมกับความเป็นพื้นถิ่นได้อย่างลงตัว มีการใช้สัจจะวัสดุทำให้เห็นเนื้อแท้ของวัสดุอย่างชัดเจนทำให้งานเกิดเสน่ห์อย่างมาก
หลังจากนั้นที่ต่อไปที่ไปคือวัดทุ่งอ้อตั้งอยู่ที่ ต.หารแก้ว อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ซึ่งทางเดินระหว่างเข้าไปนั้นจะเห็นรั้วบ้านของชาวบ้านที่มีพวกต้นไม้ ไม้เลื้อย ขึ้นบริเวณรั้วดูเหมือนไม่ตั้งใจสร้างแต่ที่จริงตั้งใจ ทำให้เกิดความรู้สึกร่มรื่นระหว่างทางเดินเข้าไปในวัดจากร่มเงาของต้นไม้ที่บริเวณของรั้วบ้าน พอเข้าถึงวัดทุ่งอ้อสิ่งที่เห็นก็คือวิหารที่มีการยกฐานสูงขึ้นโดยปกติวิหารภาคเหนือที่ไปดูมาจะไม่มีการยกฐานที่สูงขนาดนี้ นอกจากฐานที่ยกสูงแล้วตรงระเบียงทางเข้ายังมีขนาดใหญ่ ทางขึ้นไปวิหารมีขาดแคบมากทำให้รู้สึกถึง space ที่บีบอัดคับแคบ แต่พอลอดเข้าไปในวิหารระหว่างเสาใหญ่ทั้ง 2 ต้นตรงซุ้มประตูจะทำให้เกิดการเปลี่ยน space จากที่คับแคบกลายเป็น space ที่ยิ่งใหญ่เหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งเป็นแนวคิดในการดึงดูดคนให้เข้าไปใช้ ในตัววิหารได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ถ้าสังเกตบริเวณด้านหน้าทางเข้าซุ้มประตูที่มีสิงห์เฝ้าอยู่นั้นสิงห์คาบคนอยู่ซึ่งเป็นสิงห์แบบพม่า
วัดต่อไปที่พวกเราได้ไปนั้นคือวัดอินทราวาส ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ บริเวณรอบวัดมีการก่อกำแพงอิฐที่มีลักษณะเลื่อมล้ำกันทำให้เกิดความน่าสนใจตั้งแต่บริเวณกำแพงของทางเข้าวัดนี้ล้อมรอบไปด้วยต้นตาลขึ้นสูงเป็นตระหง่าน ในส่วนของวัดนั้นมีระเบียงคดล้อมรอบวิหาร มีศาลาอยู่ทางด้านซ้ายมือถ้ามองจากทางเข้า ซึ่งศาลานี้มีความพิเศษตรงโครงสร้างตรงการของหลังคาที่มีการซ้อนชั้นกัน นอกจากนี้ตรงขอบสันหลังคามีการประดับตกแต่งด้วยลวดลายมังกรที่มีการคายมังกรออกมาเรื่อยๆสร้างความสวยงามให้กับศาลาได้อย่างสวยงาม ในส่วนของตัววิหารนั้นมีการยกฐานสูงเหมือนวิหารของวัดทุ่งอ้อแต่ทางเข้าตรงระเบียงทางเข้าไม่ได้บีบอัดแน่นเหมือนกัน แต่มีความพิเศษที่ space ภายในเมื่อเรามองจากข้างนอกเข้าไปข้างในเราจะรู้สึกว่าเราเห็น space เป็นห้วงๆแต่เมื่อกลับกันเรามองจากข้างในไปข้างนอก space ที่เป็นห้วงๆนั้นจะรวมกันเป็น space เดียวกัน มีการลดลันกำแพงโดยการใช้เสาคู่และถ้าสีตรงเสาเพื่อให้ระนาบกำแพงเชื่อมต่อกันไม่ตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง วัดนี้เป็นวัดที่ทำให้ผมเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์จิ๋วอธิบายมากขึ้นจากวันแรกของการมาทริปนี้
สถานที่สุดท้ายของวันที่ได้ไปคือโรงแรมราชมังคลา ความรู้สึกแรกที่เห็นโรงแรมนี้คือนี้มันวัดนี้หว่า โรงแรมนี้ได้นำส่วนสำคัญต่างๆของวัดมาใช้ในการออกแบบ ตั้งแต่ลานทางเข้าหรือแม้กระทั่งรูปด้านของตัวอาคาร ส่วนที่พักมีการใช้ space การล้อม court ของวัดมาช่วยในการออกแบบทำให้มี space ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้วัสดุที่ใช้ยังมีการนำเหล็กมาประยุกต์ใช้เป็นกลอนระแนงทำให้หลังคาเกิดความโค้งทำให้เข้ากับยุคสมัยได้อย่างลงตัว การฉาบปูนมีการใช้คนที่ไม่เคยฉาบปูนทำให้เกิดพื้นผิวที่ไม่เรียบเพิ่มทำให้เพิ่มเสน่ห์ในงานทำให้เหมือนวัดมากยิ่งขึ้น ในส่วนที่เป็นภัตราคารนี้ได้ออกแบบให้มีกลิ่นไอของสถาปัตยกรรมแบบจีนพอเข้าไปนั้นจะมีความรู้สึกได้กินข้าวอยู่ในโรงเตี๊ยมที่อยู่ในหนังจีน แต่ผมคิดว่ามันหลุดจากการแนวคิดที่เป็นวัดไทยเหมือนเป็นคนละอารมณ์ทำให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งกันเล็กน้อยหรือเพราะผมอาจยังไม่เข้าใจในตัวงานมากก็ได้ แต่ก็ดีใจที่ได้มาสถานที่แบบนี้เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสไหนอีกที่จะได้มาสถานที่ระดับนี้อีก